กทม. ประชุมคกก.โรคติดต่อ เตรียมความพร้อมปรับโควิด-19 สู่โรคเฝ้าระวัง

ชัชชาติ สิทธิพันธุ์

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 11/2565 โดยมีคณะกรรมการและผู้เกี่ยวข้องร่วมประชุม เมื่อวันที่ 29 ก.ย. ที่ผ่านมา ทั้งนี้ ในที่ประชุม สำนักอนามัยได้รายงานการปรับโรคโควิด-19 จากโรคติดต่ออันตราย เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังลำดับที่ 57 ตั้งแต่ 1 ต.ค. 65 เป็นต้นไป

ทั้งนี้ การดูแลสถานการณ์โควิดหลังไม่มีศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) จะอยู่ภายใต้การดูแลจัดการของกระทรวงสาธารณสุข โดยเปลี่ยนผ่านจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาใช้ พ.ร.บ.โรคติดต่อ โดยมีคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ และคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด/กทม. เป็นผู้ดูแลในแต่ละระดับ

จากการประชุมกับกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กทม. จะเป็นพื้นที่นำร่อง 1 ใน 8 จังหวัด ในการดำเนินการเฝ้าระวังโรคโควิด-19 ในประชากรเสี่ยง และสถานที่เสี่ยง (Sentinel surveillance) ในระยะ post pandemic โดยดำเนินการเก็บตัวอย่างตามความเสี่ยงของแต่ละพื้นที่ในสถานที่ผู้คนแออัด หรือพื้นที่ปิดอากาศไม่ถ่ายเท ตามที่ได้วางแผนไว้ 400 ราย ต่อจังหวัดต่อเดือน เป็นระยะเวลา 4 เดือน

ทั้งนี้ แบ่งเป็นการดำเนินงานเฝ้าระวังในสถานพยาบาล (Hospital based) และการเฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยงเฉพาะพื้นที่ในชุมชน ประกอบด้วย ตลาด สถานบันเทิง (ผับ บาร์ คาราโอเกะ) และบ้านพักคนชรา สถานสงเคราะห์ผู้พิการ ทุพพลภาพ โดยสำนักอนามัย ได้ดำเนินการจัดทำแผนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับที่ทางกระทรวงสาธารณสุขกำหนดเรียบร้อยแล้ว

“ถือเป็นเรื่องที่ดีเพราะช่วยให้ทาง กทม. สามารถดำเนินการควบคุมการแพร่โรคได้ดี ซึ่งอาจจะให้สำนักงานเขตเข้าไปตรวจตลาดอีกครั้ง ว่ามาตรการป้องกันควบคุมโรคยังเป็นไปตามที่ได้กำหนดไว้หรือไม่ สิ่งที่เป็นห่วงคือนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มาจากทั่วสารทิศ อาจจะต้องมีมาตรการเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ในโรงแรมที่พัก หรือตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ด้วย อย่างไรก็ตาม การใช้มาตรการป้องกันโรคส่วนบุคคลยังเป็นสิ่งจำเป็นที่ยังต้องปฏิบัติโดยเคร่งครัด”

นายชัชชาติ กล่าว

สำหรับแผนการดำเนินงานด้านวัคซีน-19 เมื่อเข้าสู่ระยะ Post-pandemic คือ ให้ประชาชนทุกคนในกทม. ได้รับวัคซีนด้วยความสมัครใจและครอบคลุม เพื่อเตรียมรองรับการระบาด รวมถึงเชื้อกลายพันธุ์ และเพื่อลดความรุนแรงและเสียชีวิตในประชากรทุกกลุ่มอายุ

“การฉีดวัคซีนยังเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งประชาชนทั่วไปควรฉีดอย่างน้อย 3 เข็ม (ควรรับเข็ม 4 เมื่อฉีดเข็ม 3 ครบ 4 เดือน) โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง 608 (ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง และสตรีมีครรภ์) ให้ได้รับวัคซีนเข็ม 2 มากกว่า 80% และได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นมากกว่า 60%”

นายชัชชาติ กล่าว

สำหรับคำแนะนำการเฝ้าระวัง ป้องกันโรค สำหรับประชาชน องค์กร หน่วยงานทั้งภาครัฐ และเอกชน มีดังนี้ 1. ผู้ที่มีอาการป่วยทางเดินหายใจ ให้สวมหน้ากาก ล้างมือบ่อยๆ เมื่อต้องใกล้ชิดผู้อื่น และ 2. ประชาชนทั่วไปสวมหน้ากากเพื่อป้องกันตนเอง เมื่อเข้าไปในสถานที่ผู้คนแออัด หรือพื้นที่ปิด อากาศไม่ถ่ายเท เช่น โรงพยาบาล สถานที่ดูแลผู้สูงอายุ/เด็กเล็ก และให้ตรวจ Antigen Test Kit (ATK) เมื่อมีอาการป่วยหรือมีความจำเป็น ทั้งนี้ หน่วยงาน องค์กร ควรคัดกรองอาการป่วยของพนักงานเป็นประจำ หากมีความจำเป็นอาจตรวจคัด ATK สำหรับพนักงานที่มีอาการป่วยทางเดินหายใจได้ หรือข้อปฏิบัติของหน่วยงานกรณีที่มีความจำเป็น

สำหรับสถานการณ์โรคฝีดาษวานรหรือฝีดาษลิง ทั่วโลกมีแนวโน้มผู้ป่วยรายใหม่ลดลง หลายประเทศพบผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตประปราย ข้อมูล ณ วันที่ 18 ก.ย. 65 ประเทศไทยพบผู้ป่วย 8 ราย ส่วนผู้ป่วยยืนยันในพื้นที่กรุงเทพฯ มี 4 ราย ในพื้นที่เขตบางพลัด คลองเตย บึงกุ่ม และวัฒนา ทั้งนี้ ยังไม่พบผู้ติดเชื้อต่อเนื่องแต่ละราย โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาชีพให้บริการ เดินทางกลับจากต่างประเทศ

“ได้มีการปรับการสื่อสารเน้นให้ความรู้ในการป้องกันตนเองเฉพาะกลุ่ม ทั้งก่อนเดินทางและกลับจากต่างประเทศ เน้นรายงานโรคจากสถานพยาบาล และเสนอปรับระดับสถานการณ์เป็นการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด โดยกรมควบคุมโรค”

นายชัชชาติ กล่าว

ในส่วนสถานการณ์โรคไข้เลือดออก ข้อมูลจากกรุงเทพมหานครในปี 65 ข้อมูล ณ วันที่ 17 ก.ย. 65 มีจำนวนผู้ป่วยทั้งหมด 2,654 ราย เสียชีวิต 2 ราย โดยอยู่ในลำดับที่ 10 ของอัตราป่วยเทียบกับทั้งประเทศ ส่วนแนวทางการดำเนินงานควบคุมโรคติดต่อจากยุงลาย ได้ดำเนินการควบคุมโรคบริเวณบ้านผู้ป่วยและรัศมี 100 เมตร โดยการฉีดพ่นสารเคมีกำจัดยุงตัวเต็มวัย (กรณีเกิดการระบาดเป็นกลุ่มก้อน กรณีพบผู้ป่วยเสียชีวิต) พร้อมทำการสำรวจและกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลาย และเฝ้าระวังผู้ป่วยเพิ่มเติมต่อเนื่อง 28 วัน รวมทั้งมีการเก็บตัวอย่างเลือดเพื่อส่งตรวจหาสายพันธุ์ (Serotype) ด้วย

“ประสานสถานพยาบาลขอประวัติการรักษา และจัดประชุม Dead case conference ร่วมประเมินการดำเนินงานวินิจฉัยและรักษา ทั้งนี้ ขอให้สถานพยาบาลรายงานข้อมูลผู้ป่วย (ที่อยู่ และเบอร์โทรศัพท์ ที่เป็นปัจจุบัน) ให้ครบถ้วน และแจ้งสถานบริการสาธารณสุขในพื้นที่รับทราบว่าในพื้นที่มีผู้ป่วยภายใน 3 ชั่วโมง ภายหลังผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัย”

นายชัชชาติ กล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (30 ก.ย. 65)

Tags: , , , , , ,
Back to Top