ครม.ผ่านเกณฑ์คัดกรองคนต่างด้าวเพื่อให้สถานะเป็นผู้ได้รับการคุ้มครอง

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบในหลักการร่างประกาศคณะกรรมการพิจารณาคัดกรองผู้ได้รับการคุ้มครอง เรื่องหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการพิจารณาคัดกรองคำขอเป็นผู้ได้รับการคุ้มครอง ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการพิจารณาคัดกรองคนต่างด้าวที่เข้ามาในประเทศไทยและไม่สามารถเดินทางกลับประเทศอันเป็นภูมิลำเนาได้ เพื่อให้สถานะเป็นผู้ได้รับการคุ้มครอง

ทั้งนี้ ได้กำหนดหลักเกณฑ์และกระบวนการพิจารณาคำร้องขอรับสิทธิเป็นผู้ได้รับการคุ้มครอง โดยคุณสมบัติของผู้ยื่นคำร้อง จะต้องเป็นบุคคลธรรมดาที่ไม่มีสัญชาติไทย และไม่มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร หรือเป็นผู้ที่เข้ามาหรืออยู่ในราชอาณาจักรและไม่สามารถหรือไม่สมัครใจที่จะเดินทางกลับไปยังรัฐแห่งสัญชาติของตน หรือกรณีเป็นบุคคลไร้สัญชาติไม่สามารถหรือไม่สมัครใจที่จะเดินทางกลับไปยังรัฐที่เดิมตนมีถิ่นพำนักประจำ เนื่องจากมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าจะได้รับอันตรายจากการถูกประหัตประหาร และต้องไม่เป็นคนต่างด้าวหรือบุคคลในกลุ่มใดที่กระทรวงมหาดไทยมีกลไกหรือกระบวนการดำเนินการรองรับเป็นการเฉพาะ รวมทั้งไม่เป็นแรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมา ลาว และกัมพูชา ที่มีกลไกหรือกระบวนการดำเนินการรองรับเป็นการเฉพาะ

สำหรับคุณสมบัติของผู้ได้รับการคุ้มครอง จะต้องมีมูลที่จะเชื่อได้ว่าจะได้รับอันตรายจากการประหัตประหาร การคุกคามชีวิตหรือเสรีภาพ การทรมาน การกระทำให้สูญหาย หรือการละเมิดสิทธิมนุษยชนในรูปแบบอื่นอย่างร้ายแรง และไม่สามารถหรือไม่สมัครใจที่จะได้รับการคุ้มครองจากหรือเดินทางกลับไปยังรัฐแห่งสัญชาติ ไม่เป็นผู้ที่ถูกพิจารณาว่า ไม่จำเป็นต้องได้รับความคุ้มครองระหว่างประเทศ หรือกรณีที่เป็นบุคคลไร้สัญชาติ ไม่สามารถหรือไม่สมัครใจที่จะเดินทางกลับไปยังรัฐที่เดิมมีถิ่นพำนักประจำ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นชอบด้วยในหลักการ

ขณะเดียวกัน ผู้ยื่นคำขอต้องได้รับการตรวสอบ ดังนี้ คือ ประวัติอาชญากรรม, พฤติการณ์บุคคลและทางการเมือง,พฤติการณ์เกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ และหมายจับจากกองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้ยื่นคำขอต้องมีใบรับรองแพทย์เพื่อแสดงว่าไม่มีโรคอย่างใดอย่างหนึ่งตามกฎกระทรวงกำหนดโรคต้องห้ามสำหรับคนต่างด้าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (05 ต.ค. 65)

Tags: , , , ,
Back to Top