KCG เปิดยุทธศาสตร์ขยายการผลิตควบคู่พัฒนานวัตกรรมขยายช่องทางขายจ่ออัพโตด้วย M&A

บมจ.เคซีจี คอร์ปอเรชั่น (KCG) เปิดแผนยุทธศาสตร์ประกาศรุกธุรกิจครั้งใหญ่ มุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ สร้างสรรค์ความรื่นรมย์ในรสชาติทุกช่วงมื้ออาหารรับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคใหม่ ขยายช่องทางการจำหน่ายครอบคลุมกลุ่มผู้บริโภคและกลุ่มผู้ประกอบการ พร้อมลงทุนเทคโนโลยียกระดับโรงงานและขยายกำลังการผลิตเนยและชีส มุ่งสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

นายตง ธีระนุสรณ์กิจ ประธานกรรมการบริหาร KCG เปิดเผยว่า บริษัทเป็นผู้นำในการผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อการบริโภค ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเนย-ชีส บิสกิต และส่วนประกอบอาหารและเบเกอรี่ที่หลากหลาย อีกทั้ง บริษัทยังเป็นผู้นำเข้าเนย ชีส วัตถุดิบเบเกอรี่และอาหารตะวันตกจากหลากหลายแบรนด์ชั้นนำทั่วโลกที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมอาหารมากว่า 64 ปี

โดยจุดเริ่มต้นของอาณาจักรธุรกิจอาหารตะวันตกของ KCG มาจากห้างหุ้นส่วนจำกัด กิมจั๊วพาณิชย์ ซึ่งได้เล็งเห็นโอกาสทางธุรกิจอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการจึงได้ริเริ่มนำเข้าและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เนยและชีส ภายใต้แบรนด์ Allowrie จากประเทศออสเตรเลีย และบัตเตอร์คุกกี้สูตรเดนมาร์ก ภายใต้แบรนด์ Imperial

นอกเหนือจากการเป็นผู้นำในผลิตภัณฑ์เนยและชีสที่บริษัทเป็นผู้ผลิตภายใต้แบรนด์หลัก เช่น Allowrie Imperial และ Dairygold ปัจจุบัน บริษัทยังเป็นผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์ชั้นนำจากทั่วโลกรวมกว่า 2,100 รายการ เพื่อมอบประสบการณ์ความรื่นรมย์ทางรสชาติให้กับผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ ภายใต้พันธกิจของบริษัทฯ ที่มุ่งนำองค์ความรู้และประสบการณ์มาพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ตลอดจนการคัดสรรผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพจากทั่วโลกเพื่อสร้างโอกาสการลิ้มรสอาหารที่แปลกใหม่ ถูกสุขลักษณะ เป็นมิตรต่อสุขภาพ และสร้างคุณค่าการดำเนินชีวิตสู่การเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืน

นายวาทิต ตมะวิโมกษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ KCG กล่าวว่า KCG มุ่งมั่นขับเคลื่อนการดำเนินงานภายใต้วิสัยทัศน์ เราจะเป็นบริษัทชั้นนำในการนำเสนอผลิตภัณฑ์จากนมและอาหารรสเลิศ รวมทั้งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่มุ่งมั่นเพื่อการดำเนินชีวิตที่ทันสมัย และมีนโยบายการบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์บนกรอบของการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยคำนึงถึงมิติทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ในทุกขั้นตอนของการดำเนินธุรกิจ ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่สร้างความรื่นรมย์ให้กับรสชาติอาหารที่มีคุณภาพในทุกช่วงมื้ออาหารของผู้บริโภค พร้อมทั้งจัดหาวัตถุดิบและคัดสรรแบรนด์ชั้นนำจากทั่วทุกมุมโลก เพื่อตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคทุกเพศทุกวัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยได้วางเป้าหมายก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารที่มีคุณภาพรายใหญ่ในประเทศไทย และเป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่าย เนย ชีส รวมถึงอาหารสำเร็จรูปชั้นนำจากทั่วโลก

KCG มีผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและแบรนด์แข็งแกร่งผ่านการสร้างสรรค์นวัตกรรมอาหารที่มีคุณภาพสอดรับกับวิถีชีวิตของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงทุกช่วงเวลา ภายใต้ฐานการผลิตอันแข็งแกร่งและระบบโลจิสติกส์แบบควบคุมอุณหภูมิ (Cold Chain) ที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ KCG สามารถส่งมอบสินค้าให้แก่ผู้บริโภคได้ครอบคลุมทุกช่องทางทั่วประเทศ

โดยปัจจุบัน KCG มีกลุ่มผลิตภัณฑ์หลักแบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่

1. กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม (Dairy Products) ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์เนย ชีส และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่แปรรูปมาจากนม เช่น นมพร้อมดื่ม วิปปิ้งครีม ครีมชีส และโยเกิร์ต

2. กลุ่มผลิตภัณฑ์ประกอบอาหารและเบเกอรี่ (Food and Bakery Ingredients) และผลิตภัณฑ์อื่นๆ แบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่ 1) ผลิตภัณฑ์อาหาร ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์ส่วนผสมของอาหาร (Food Ingredients) เช่น น้ำมันมะกอก และมายองเนส ผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป และผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์และอาหารทะเล 2) ผลิตภัณฑ์ประกอบการทำเบเกอรี่ อาทิ แป้งเค้ก และแป้งมิกซ์ 3) ผลิตภัณฑ์น้ำผลไม้เข้มข้นภายใต้แบรนด์ SUNQUICK และ 4) อุปกรณ์ในการทำเบเกอรี่และอุปกรณ์ประกอบอาหาร

3. กลุ่มผลิตภัณฑ์บิสกิต (Biscuits) ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์คุกกี้ ผลิตภัณฑ์แครกเกอร์ และผลิตภัณฑ์เวเฟอร์

นายดำรงชัย วิภาวัฒนกุล รองกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส KCG กล่าวว่า อุตสาหกรรมอาหารมีศักยภาพในการเติบโตอีกมาก จากปัจจัยเศรษฐกิจของประเทศไทยที่เริ่มฟื้นตัวหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยภาคการท่องเที่ยวที่เริ่มฟื้นตัวอย่างโดดเด่น ส่งผลเชิงบวกต่อธุรกิจบริการอาหารและอุตสาหกรรมอาหารให้ขยายตัว

โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา KCG ได้พัฒนาสินค้าและนวัตกรรมใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ภายใต้ศูนย์นวัตกรรมผลิตภัณฑ์อาหาร หรือ KCG Excellence Center ซึ่งได้สร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อสุขภาพให้แก่ผู้บริโภค เช่น ผลิตภัณฑ์คีโต (Keto) Butter MCT ผลิตภัณฑ์โปรตีนจากพืช (Plant Based) ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมของ KCG ครองความเป็นผู้นำในตลาด โดยในปี 2564 ผลิตภัณฑ์เนยและชีสของ KCG มีส่วนแบ่งตลาด (Market Share อันดับ 1) อยู่ที่ร้อยละ 55.0 และร้อยละ 31.6 ตามลำดับ นอกจากนี้ กลุ่มผลิตภัณฑ์ประกอบการทำเบเกอรี่และผลิตภัณฑ์บิสกิตของ KCG ยังมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ใน 5 อันดับแรกอีกด้วย (ข้อมูลจาก Euromonitor)

บริษัทได้วางกลยุทธ์เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำในประเทศไทย ผ่าน 4 แนวทางขับเคลื่อนธุรกิจ ได้แก่ 1) ขยายกำลังการผลิตพร้อมทั้งนำเทคโนโลยีมายกระดับกระบวนการผลิต โดยวางแผนลงทุนเครื่องจักรระบบอัตโนมัติ (Automation) เพื่อขยายกำลังการผลิต (Capacity Expansion) พร้อมบริหารจัดการต้นทุนการผลิตให้มีประสิทธิภาพ

2) พัฒนาผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ โดยบริษัทฯ มีความมุ่งมั่นในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมถึงพัฒนาสูตรใหม่ทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมและไม่ได้ทำจากนม เพื่อเป็นอาหารทางเลือกใหม่ซึ่งดีต่อสุขภาพและสอดรับกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่ ซึ่งช่วยตอกย้ำความเป็นผู้นำในการนำเสนอสินค้าสู่ตลาด (Trend Setter)

3) สร้างช่องทางการจำหน่ายที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งขยายช่องทางจำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ รวมทั้งช่องทางร้านสะดวกซื้อและตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ (Vending Machine) สำหรับกลุ่มผู้บริโภค (B2C) พร้อมยกระดับการให้บริการกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ (B2B) อาทิ ผู้ให้บริการด้านอาหาร ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร จัดเลี้ยง (HORECA) และกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมผลิตอาหาร ผ่านการจัดหาผลิตภัณฑ์อย่างครบวงจร ตลอดจนขยายตลาดในต่างประเทศผ่านตัวแทนจัดจำหน่าย จากปัจจุบันที่มีการส่งออกไปแล้ว 15 ประเทศทั่วโลก เช่น ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้

4) ขยายธุรกิจผ่านการควบรวมกิจการ (M&A Opportunities) โดยบริษัทมุ่งสร้างการเติบโตทั้งในและต่างประเทศผ่านการร่วมทุน (Joint Venture) หรือการควบรวมกิจการ (M&A) โดยเน้นธุรกิจที่มีเป้าหมาย วิสัยทัศน์ และแผนกลยุทธ์ที่เสริมศักยภาพการเติบโตให้แก่ KCG อาทิ ธุรกิจต้นน้ำ (Upstream) ซึ่งเป็นธุรกิจที่จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของห่วงโซ่คุณค่า (Supply Chain) เพื่อให้เกิดการบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน

นายธวัช ธีระนุสรณ์กิจ รองกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส KCG กล่าวว่า บริษัทมีแผนการลงทุนในปี 66-67 เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจ ได้แก่ การลงทุนก่อสร้างและพัฒนาศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้า (KCG Logistics Park) เพื่อเพิ่มพื้นที่การจัดเก็บและบริหารจัดการสินค้าอย่างทันสมัยและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งขยายกำลังการผลิตที่โรงงานเทพารักษ์ด้วยการนำเทคโนโลยีมายกระดับกระบวนการผลิต โดยมีแผนในการขยายกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์ชีส (Individually Wrapped Processed Cheese Slices) จากเดิม 2,106 ตันต่อปี ให้เพิ่มเป็น 4,212 ตันต่อปีภายในปีนี้ และจะขยายกำลังการผลิตเนยจาก 18,596 ตันต่อปี เพิ่มเป็น 23,261 ตันต่อปีในปี 67 เพื่อรองรับการเติบโตทั้งในประเทศและต่างประเทศ

KCG ยังให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน ภายใต้การดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG (Environment, Social, Governance) ซึ่งครอบคลุมด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล โดยบริษัทฯ ได้มีการติดตั้ง Solar Rooftop ที่โรงงานเทพารักษ์ จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในปี 64 ได้ถึง 646 ตันต่อปี อีกทั้ง KCG ยังได้ร่วมเป็นหนึ่งในการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับชุมชนและสังคมในวงกว้างผ่านโครงการ เช่น โครงการประกวดนวัตกรรมอาหาร ‘Innovation Contest’ ที่ส่งเสริมนักศึกษาในการสร้างนวัตกรรมอาหาร ตลอดจนการดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียตั้งแต่ผู้ถือหุ้น พนักงาน ลูกค้า คู่ค้า คู่สัญญา ชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (15 มี.ค. 66)

Tags: , , , ,
Back to Top