เลือกตั้ง’66: ทีมเศรษฐกิจ ปชป.ดัน 4 เมกะโปรเจกต์ระบบรางทั่วไทยลดต้นทุนโลจิสติกส์ปิดประตูเอื้อเอกชน

ทีมเศรษฐกิจพรรคประชาธิปัตย์ แถลงวาระประเทศไทยครั้งที่ 5 “ปชป. กับนโยบายแก้หนี้ประชาชนและการพัฒนาระบบการเงิน” และ “ปชป.จัดเต็ม ! ดันระบบรางทั่วไทย ลดต้นทุนโลจิสติกส์ – ปิดประตู “ประมูลเอื้อเอกชน” โดยนายสามารถ ราชพลสิทธิ์ รองหัวหน้าพรรค ทีมเศรษฐกิจพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยนายพิสิฐ ลี้อาธรรม อดีต รมช.คลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายและทีมเศรษฐกิจพรรคประชาธิปัตย์

นายสามารถ กล่าวว่า ประเทศไทยมีทำเลยุทธศาสตร์ในการเป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งของภูมิภาค แต่เมื่อหันมามองต้นทุนโลจิสติกส์ของไทยแล้ว น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เพราะยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลก โดยต้นทุนโลจิสติกส์ของไทยต่อ GDP มีค่าประมาณ 14% ในขณะที่ต้นทุนโลจิสติกส์ต่อ GDP เฉลี่ยของทุกประเทศทั่วโลกมีค่าประมาณ 10% แต่ประเทศที่มีระบบรางที่ดีมีต้นทุนโลจิสติกส์ต่อ GDP c8j 8-9% เหตุที่ต้นทุนโลจิสติกส์ของไทยสูงเพราะการขนส่งยังพึ่งพาถนนหรือรถยนต์เป็นหลัก ซึ่งมีต้นทุนสูงกว่าการขนส่งทางราง ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่จะต้องขับเคลื่อนประเทศด้วยระบบรางรถไฟให้เป็นทางเลือกใหม่ของการขนส่งเพื่อนำประเทศไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

พรรคประชาธิปัตย์จึงมีนโยบายด้านระบบราง ดังนี้

1.รถไฟทางคู่ ซึ่งเปรียบเหมือนกระดูกสันหลังของโครงข่ายรถไฟ พรรคประชาธิปัตย์เป็นผู้ริเริ่มโครงการรถไฟทางคู่ขึ้นมาในปี พ.ศ. 2536 ปัจจุบันเส้นทางรถไฟทั่วประเทศยาวประมาณ 4,044 กิโลเมตร ประกอบด้วยทางเดี่ยว 3,394 กิโลเมตร (83.9%) ทางคู่ 543 กิโลเมตร (13.4%) และทางสาม 107 กิโลเมตร (2.7%)

พรรคประชาธิปัตย์จะเร่งรัดก่อสร้างทางคู่เพิ่มเติมเพื่อลดต้นทุนโลจิสติกส์ของประเทศ จากรถไฟทางคู่ที่จะต้องก่อสร้างทั้งหมด 4,435 กิโลเมตร พรรคตั้งเป้าภายในปี 70 จะสามารถก่อสร้างได้ 7 เส้นทาง ระยะทาง 1,483 กิโลเมตร วงเงินประมาณ 2.7 แสนล้านบาท ประกอบด้วย (1) ปากน้ำโพ-เด่นชัย (2) เด่นชัย-เชียงใหม่ (3) ถนนจิระ-อุบลราชธานี (4) ขอนแก่น-หนองคาย (5) ชุมพร-สุราษฎร์ธานี (6) สุราษฎร์ธานี-หาดใหญ่-สงขลา และ (7) หาดใหญ่-ปาดังเบซาร์

เมื่อก่อสร้างรถไฟทางคู่ทั้ง 7 เส้นทางนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว จะทำให้มีสัดส่วนทางรถไฟดังนี้ ทางเดี่ยว 1,211 กิโลเมตร (25.6%) ทางคู่ 3,404 กิโลเมตร (72.1%) และทางสาม 107 กิโลเมตร (2.3%) รวมระยะทางทั้งหมด 4,722 กิโลเมตร ถึงเวลานั้นต้นทุนโลจิสติกส์ต่อ GDP ของไทยจะลดลงจาก 14% เหลือ 12%

“หากพรรคประชาธิปัตย์ได้ดูแลกระทรวงคมนาคม การประมูลรถไฟทางคู่ที่สร้างความประหลาดใจให้กับผู้คนทั่วประเทศแบบสายเหนือช่วงเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ และสายอีสานช่วงบ้านไผ่-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม เนื่องจากราคาที่ได้จากการประมูลต่ำกว่าราคากลางเพียงแค่ 0.08% เท่ากันทุกสัญญา จะไม่เกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอน” นายสามารถ กล่าวย้ำ

สำหรับการประมูลรถไฟทางคู่สายเหนือและสายอีสานที่ผ่านมา มีการแบ่งสัญญาการก่อสร้างออกเป็น 5 สัญญา เท่ากับจำนวนผู้รับเหมาขนาดใหญ่พอดี ทุกรายเข้าประมูลและได้งาน แต่ผู้รับเหมาขนาดกลางไม่สามารถเข้าประมูลได้ หากต้องการเข้าร่วม จะต้องรวมกับผู้รับเหมาขนาดใหญ่เป็นกิจการร่วมค้า แต่มักจะถูกปฏิเสธจากผู้รับเหมาขนาดใหญ่ ซึ่งแนวทางการประมูลรถไฟทางคู่ของพรรคประชาธิปัตย์คือจะเปิดกว้างให้ผู้รับเหมาทั้งขนาดใหญ่และขนาดกลางเข้ามาแข่งขัน ซึ่งจะทำให้ประหยัดค่าก่อสร้างได้ และทำให้งานเสร็จเร็วขึ้น

2.รถไฟความเร็วสูง พรรคได้จัดทำแผนแม่บทรถไฟความเร็วสูงขึ้นเมื่อปี 53 เราจะสานต่อการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-หนองคาย เร่งก่อสร้างเส้นทางหนองคาย-นครราชสีมา 355 กิโลเมตร วงเงิน 230,000 ล้านบาท เป็นการขยายเส้นทางรถไฟความเร็วสูงจีน-ลาวมาถึงไทย เพื่อรองรับผู้โดยสารจากจีนและลาวที่จะเดินทางมาไทย

พรรคจะสนับสนุนการพัฒนาเมืองรอบสถานีรถไฟความเร็วสูง ซึ่งอาจประกอบด้วยเมืองอัจฉริยะ (Smart City) เมืองคาร์บอนต่ำ (Low Carbon City) ที่มีการวางผังเมือง ระบบจราจร การสร้างบ้านเรือนบนพื้นฐานการประหยัดพลังงาน การใช้พลังงานหมุนเวียน รวมถึงการควบคุมการปล่อยมลภาวะ และการจำกัดขยะ ซึ่งจะช่วยให้หัวเมืองขยายตัวขึ้น มีความเจริญขึ้นจนมีสถานะเป็นเมืองระดับนานาประเทศ มีนักท่องเที่ยวมากขึ้น มีการค้าขายมากขึ้น ส่งผลให้มีเงินหมุนเวียนมากขึ้น รัฐบาลสามารถเก็บภาษีได้มากขึ้น

และเมื่อเร็วๆ นี้ ได้มีการหารือระหว่างไทย-ลาว เพื่อหาข้อยุติเรื่องการก่อสร้างสะพานมิตรภาพแห่งใหม่ที่จะรองรับทางรถไฟปกติที่มีขนาดความกว้างของราง 1 เมตร และทางรถไฟความเร็วสูงที่มีขนาดความกว้างของราง 1.435 เมตร หากพรรคได้ดูแลกระทรวงคมนาคม ประชาชนจะได้ใช้รถไฟความเร็วสูงช่วงหนองคาย-นครราชสีมา ภายในเวลาไม่เกิน 6 ปี ไม่ใช่ล่าช้าเหมือนในปัจจุบัน

3.ระบบขนส่งมวลชนในเมืองมหานคร เพื่อกระจายความเจริญจากกรุงเทพฯ ไปสู่หัวเมืองหลักในภูมิภาค พรรคจะสนับสนุนการก่อสร้างรถไฟฟ้ารางเบาเชียงใหม่ ระยะที่ 1 วงเงิน 27,200 ล้านบาท ขอนแก่น วงเงิน 22,000 ล้านบาท นครราชสีมา ระยะที่ 1 วงเงิน 18,400 ล้านบาท และที่ภูเก็ต ระยะที่ 1 วงเงิน 30,200 ล้านบาท และจะสนับสนุนการก่อสร้างรถรางล้อยาง (Auto Tram) ที่พิษณุโลก วงเงิน 760 ล้านบาท รวมทั้งสร้างรถไฟฟ้ารางเดี่ยว (โมโนเรล) ระยะที่ 1 หาดใหญ่ วงเงิน 16,200 ล้านบาท รวมทั้งหมดเกือบ 1.2 แสนล้านบาท

“ที่ผ่านมา มีการใช้เงินในการก่อสร้างรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ และปริมณฑลประมาณ 1 ล้านล้านบาท จะขอเงินไปสร้างระบบขนส่งมวลชนในต่างจังหวัดทั่วทุกภาค ประมาณ 1.2 แสนล้านบาท ไม่ได้เชียวหรือ ?”นายสามารถ กล่าว

4.รถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ และปริมณฑล พรรคจะเร่งรัดการก่อสร้างรถไฟฟ้าทั้งสายสีม่วงใต้และสายสีส้ม พร้อมทั้งจะเร่งแก้ปัญหารถไฟฟ้าสายสีส้มและสายสีเขียวที่ยืดเยื้อมานาน โดยไม่นำปัญหาของทั้ง 2 สาย มาผูกโยงกัน

ทั้งนี้ (1) นโยบายด้านระบบรางของพรรคประชาธิปัตย์ ใช้เงินลงทุนประมาณ 6.2 แสนล้านบาท ในระยะเวลา 4-6 ปี แบ่งเป็นเงินลงทุนจากภาครัฐ 5.1 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 82 และเงินลงทุนจากภาคเอกชน 1.1 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 18

(2) การลงทุนในโครงการรถไฟทางคู่วงเงิน 2.7 แสนล้านบาท คาดว่าจะสามารถลดต้นทุนโลจิสติกส์ต่อ GDP จากร้อยละ 14 ในปัจจุบัน เหลือร้อยละ 12 ในปี พ.ศ. 2570 ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสการแข่งขันของประเทศ

(3) การลงทุนในโครงการรถไฟความเร็วสูงช่วงหนองคาย-นครราชสีมา วงเงิน 2.3 แสนล้านบาท และโครงการระบบขนส่งมวลชนในเมืองมหานคร วงเงิน 1.2 แสนล้านบาท จะช่วยให้ประชาชนประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิง ลดมลพิษ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมรับกระแสโลกในการลดก๊าซเรือนกระจก เพื่อทำให้โลกเกิดความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนเป็นสำคัญ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (03 พ.ค. 66)

Tags: , ,
Back to Top