L&E อวด Backlog แกร่ง 1.3 พันลบ.หลังรับงานโครงการใหญ่เพิ่ม คาด H2 สดใส

นายอนันต์ กิตติวิทยากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ไลท์ติ้ง แอนด์ อีควิปเมนท์ (L&E) เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ธุรกิจก่อสร้างยังคงได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ที่เศรษฐกิจอยู่ในช่วงฟื้นตัวหลังจาก Covid -19 คลี่คลายลง แต่การแพร่ระบาดที่ยังไม่หมดไป โดยเริ่มขยายปรับตัวเพิ่มขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป และขั้นตอนการก่อสร้างส่วนใหญ่ แล้วจะติดตั้งโคมไฟฟ้าช่วงท้ายของโครงการ จึงเป็นเหตุให้ลูกค้าชะลอเลื่อนรับสินค้าเข้าหน่วยงาน กอปรกับตลาดสหรัฐอเมริกายังคงชะลอตัวเพราะได้รับผลกระทบจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ย และสงครามยูเครนที่ยืดเยื้อ ทำให้รายได้จากงานขายไปต่างประเทศได้ปรับตัวลดลงอย่างมาก

อย่างไรก็ดี ในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ บริษัทได้รับงานใหม่ๆมาเพิ่ม Backlog อีกประมาณเกือบ 300 ล้านบาท เช่น งานเพิ่มจากโครงการ One Bangkok, โลตัสซุปเปอร์สโตร์, Forestia, Big C, Central, King Power, AOT เป็นต้น สนับสนุนให้ Backlog ของบริษัทฯ แข็งแกร่ง ปัจจุบันอยู่ที่ 1,300 ล้านบาท

“ภาพรวมธุรกิจครึ่งปีแรกคงยังทรงตัว แต่มีทิศทางที่ดีเนื่องจากบริษัทฯ มีงานใหม่ ๆ เข้ามาเพิ่มเรื่อย ๆ ซึ่งจากการประเมินแนวโน้มครึ่งปีหลังเชื่อว่าจะดีทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ โดยภาพรวมทั้งปีเชื่อว่า ยอดขายยังคงเติบโตได้ 5 – 10 % จากปีที่ผ่านมา” นายอนันต์ กล่าว

สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 1/66 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและให้บริการ 658 ล้านบาท (ในจำนวนนี้ เป็นเงินชดเชย 28 ล้านบาท จากบริษัทพันธมิตรแห่งหนึ่งสำหรับใช้ปรับปรุงอาคารเพื่อผลิตสินค้าขายให้กับบริษัทดังกล่าวตามสัญญา) ลดลงจากปีก่อนหน้า 146 ล้านบาท หรือลดลง 18% เป็นผลจากรายได้จากการขายและให้บริการของงานโครงการเพิ่มขึ้น 8 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 2% (แม้มีงานโครงการมูลค่าประมาณ 58 ล้านบาท ต้องเลื่อนการรับรู้รายได้ไปเป็นไตรมาสถัดไปก็ตาม) และงานขายส่ง/ขายปลีกเพิ่มขึ้น 26 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 17%

ส่วนงานขายต่างประเทศนั้นลดลง 180 ล้านบาท หรือลดลง 72% ในไตรมาสนี้รายได้จากการขายและให้บริการในประเทศเริ่มฟื้นตัวขึ้น เป็นผลจากบริษัทห้างร้านต่าง ๆ เริ่มปรับตัวให้สามารถดำเนินธุรกิจท่ามกลางสถานการณ์ที่ยังมีการแพร่ระบาดของโรค Covid – 19 ได้ ส่งผลให้มีการขยายหรือปรับปรุงธุรกิจเพิ่มมากขึ้น แต่รายได้จากงานขายต่างประเทศได้ปรับตัวลดลงอย่างมาก สาเหตุใหญ่มาจากการขายสินค้าไปในตลาดอเมริกาได้ลดลง 193 ล้านบาท เป็นผลจากการแข่งขันที่เข้มข้นและตลาดที่ชะลอตัวลงจากปัญหาเศรษฐกิจและการเงินที่ประเทศนี้กำลังประสบอยู่

บริษัทฯ ขาดทุนสำหรับงวด 1.6 ล้านบาท เทียบกับปีก่อนหน้าที่มีกำไร 9.6 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 11.2 ล้านบาท เป็นผลจากปัจจัยต่อไปนี้ โดยกำไรขั้นต้นจากการขายรวมรายได้อื่นลดลง 13.2 ล้านบาทหรือลดลง 6% เป็นผลจากยอดขายที่ปรับตัวลดลง แม้อัตรากำไรขั้นต้นได้ปรับดีขึ้นจาก 24.6% ในปี 2565 เป็น 31.3% ในปี 2566 ทั้งนี้เพราะสินค้าที่ขายให้ลูกค้าปลายทางที่อเมริกาที่ลดลงมีอัตรากำไรเบื้องต้นต่ำกว่าสินค้าที่ขายทั่วไป

ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารรวมดอกเบี้ยจ่ายลดลง 1.3 ล้านบาท หรือลดลง 1% สาเหตุใหญ่มาจากปีที่แล้วบริษัทมีค่าขนส่งสินค้าที่จ่ายแทนลูกค้าไปก่อนแล้วเรียกเก็บจากลูกค้าภายหลังจำนวน 12.0 ล้านบาท แต่ในปีนี้ไม่มีรายการดังกล่าว ที่เหลือเป็นค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากค่าใช้จ่ายแปรผันตามผลการดำเนินงานของธุรกรรมในประเทศ และการเพิ่มขึ้นจากการปรับเงินเดือนประจำปี รวมถึงดอกเบี้ยจ่ายที่สูงขึ้นเพราะอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยที่ปรับตัวสูงขึ้นจาก 2.93% ในปี 2565 เป็น 3.86% ในปี 2566 และมีเครดิตภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มขึ้น 0.7 ล้านบาท

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (09 พ.ค. 66)

Tags: , , ,
Back to Top