เว็บไซต์เมอร์เซอร์ (Mercer) ซึ่งเป็นบริษัทให้คำปรึกษาชั้นนำระดับโลกเปิดเผยผลการสำรวจเมืองที่มีค่าครองชีพแพงที่สุดในโลกสำหรับพนักงานชาวต่างชาติประจำปี 2566 โดยการสำรวจดังกล่าวพิจารณาจากเมืองที่อยู่นอกเขตแดนของสหรัฐอเมริกา
ผลสำรวจพบว่า ฮ่องกงยังคงรั้งตำแหน่งเมืองที่มีค่าครองชีพแพงที่สุดอันดับ 1 รองลงมาคือสิงคโปร์ และเมืองซูริคของสวิตเซอร์แลนด์ตามมาเป็นอันดับที่ 3
ส่วนเมืองที่มีค่าครองชีพถูกที่สุดสำหรับพนักงานชาวต่างชาตินั้น รวมถึงเมืองฮาวานาของคิวบาซึ่งอยู่ในอันดับที่ 83 โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากค่าเงินที่อ่อนแอลงอย่างมากในช่วงกลางปีที่แล้ว และอีก 2 เมืองในปากีสถาน ซึ่งได้แก่การาจีและอิสลามาบัด
เมืองที่ติดท็อปเท็นค่าครองชีพแพงที่สุดในโลกปีนี้ มีเมืองของยุโรปติดอันดับ 5 เมืองด้วยกัน โดยหนึ่งในนั้นคือเมืองโคเปนเฮเกนของเดนมาร์ก ขณะที่เมืองเทลอาวีฟของอิสราเอล ยังคงรั้งอันดับเมืองที่มีค่าครองชีพแพงที่สุดในตะวันออกกลาง
อย่างไรก็ดี เมอร์เซอร์ระบุว่า ค่าครองชีพเป็นเพียงหนึ่งในปัจจัยที่นำมาพิจารณาถึงสภาพแวดล้อมทั่วโลก โดยพบว่าในขณะที่ฮ่องกงเป็นเมืองที่มีค่าครองชีพแพงที่สุดสำหรับพนักงานชาวต่างชาติ แต่ไม่ได้หมายความว่าฮ่องกงจะเป็นเมืองที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยเมอร์เซอร์จัดให้ฮ่องกงอยู่ในอันดับที่ 78 ของเมืองที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี
ในทางกลับกัน เมืองบางแห่งของโลกอาจจะมีค่าครองชีพถูกสำหรับชาวต่างชาติ แต่ก็อาจจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า เช่น เมืองบาร์เซโลนาของสเปน ซึ่งอยู่ในอันดับ 75 ของเมืองที่มีค่าครองชีพแพงที่สุด แต่อยู่ในอันดับที่ 47 ของเมืองที่มีคุณภาพดีที่สุด
สำหรับ 10 อันดับเมืองที่มีค่าครองชีพแพงที่สุด (ไม่รวมสหรัฐ) ประจำปี 2566 มีดังนี้
1. ฮ่องกง
2. สิงคโปร์
3. ซูริค (สวิตเซอร์แลนด์)
4. เจนีวา (สวิตเซอร์แลนด์)
5. บาเซิล (สวิตเซอร์แลนด์)
6. เบิร์น (สวิตเซอร์แลนด์)
7. เทลอาวีฟ (อิสราเอล)
8. โคเปนเฮเกน (เดนมาร์ก)
9. แนสซอ (บาฮามาส)
10. เซี่ยงไฮ้ (จีน)
ทั้งนี้ หากรวมผลสำรวจเมืองในสหรัฐด้วยนั้น เมอร์เซอร์ได้จัดให้นิวยอร์กเป็นเมืองที่มีค่าครองชีพแพงที่สุดในภูมิภาคอเมริกาเหนือ ขณะที่ในอันดับโลกนั้น นิวยอร์กอยู่ที่อันดับ 6, นครลอสแอนเจลิส อันดับที่ 11, ซานฟรานซิสโก อันดับที่ 14 และฮอนโนลูลู อันดับที่ 15
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (15 ส.ค. 66)
Tags: Mercer, ค่าครองชีพ, ชาวต่างชาติ, ฮ่องกง