ศาลฎีกายกฟ้อง “ชาญชัย” คดีคิงเพาเวอร์ เจ้าตัวยันแม้ไม่ใช่ผู้เสียหาย แต่แถลงข่าวในฐานะ สส.

นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส. จังหวัดนครนายก พรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ตัดสินยกฟ้องในคดีที่ตนได้ฟ้องกรรมการท่าอากาศยานไทย (ทอท.) และกลุ่มบริษัท คิงเพาเวอร์ เรื่องจัดเก็บและแบ่งปันผลประโยชน์ตอบแทนจากการจำหน่ายสินค้าปลอดอากรภายในสนามบินสวรรณภูมิไม่เป็นไปตามสัญญา เนื่องจากไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง และศาลยังไม่ได้วินิจฉัยเนื้อหาแห่งคดี

ตนจึงได้มาแถลงข่าวว่าจะนำคำพิพากษาดังกล่าว ส่งให้แก่นายกรัฐมนตรี รมว.คลัง รวมทั้ง รมว.คมนาคม เพื่อให้ไปติดตามเงิน 1.4 หมื่นล้านบาทเข้าแผ่นดิน เนื่องจากเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่โดยตรง พร้อมกับจะนำเรื่องขึ้นกราบบังคมทูลถวายฎีกา เพื่อให้ทรงทราบถึงสถานการณ์ ทำให้ตนถูกกลุ่มบริษัท คิงเพาเวอร์ ฟ้องร้องกล่าวหาว่าพูดเท็จ หมิ่นประมาท

นายชาญชัย กล่าวว่า คดีดังกล่าวมีการต่อสู้กันถึง 3 ศาล จนบัดนี้คดีถึงที่สุด โดยศาลมีคำพิพากษาให้ยกฟ้องแล้ว ซึ่งศาลชั้นต้นได้ตัดสินว่า มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 328 จำคุก 8 เดือน กับให้ลงโฆษณาคำพิพากษาฉบับเต็มในหนังสือพิมพ์ มติชน ข่าวสด เดอะเนชั่น และสยามรัฐ 7 วันติดต่อกัน โดยให้นายชาญชัยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย

จากนั้นในชั้นอุทธรณ์-ฎีกา ศาลได้ตัดสินว่านายชาญชัยไม่มีความผิด และยกฟ้อง ด้วยเหตุผลว่าการแถลงข่าวล้วนเป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ การแจกสำเนาคำพิพากษาเป็นการเผยแพร่คำพิพากษา แม้คำพิพากษาจะพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากไม่ใช่ผู้เสียหาย แต่ศาลก็ยังไม่ได้วินิจฉัยว่ามีการกระทำผิดตามฟ้อง และไม่มีการปั้นแต่งข้อความอื่นนอกเหนือไปจากข้อความในคำพิพากษา ถือได้ว่าเป็นการแจ้งข่าวด้วยความเป็นธรรมเรื่องการดำเนินการโดยเปิดเผยในศาลโดยสุจริต ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย

ส่วนการที่จะไปดำเนินการต่อด้วยการทูลเกล้าถวายฎีกา หรือร้องต่อนายกรัฐมนตรี รมว.คลัง และคมนาคม เพื่อให้มีการตรวจสอบและเอาเงินคืน ก็เป็นเรื่องที่แจ้งให้สื่อมวลชนทราบว่าจะดำเนินการต่อไปเท่านั้น มิใช่เป็นการหมิ่นประมาท

ส่วนที่กลุ่มบริษัท คิงเพาเวอร์ ฟ้องว่า มีการแถลงข่าวหลายครั้ง การกระทำมีเจตนาทุจริต ทำให้ได้รับความเสียหายนั้น ศาลเห็นว่านายชาญชัย เป็นรองประธานอนุกรรมาธิการ ฯ เข้าร่วมตรวจสอบ/ประชุม โดยมีพยานหลักฐานแน่ชัดน่าเชื่อถือ ล้วนแต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับงานของนายชาญชัยทั้งสิ้น จากพยานหลักฐานทำให้มีเหตุอันสมควรเชื่อเช่นนั้นโดยสุจริตว่าคำแถลงของตนเป็นความจริง โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับประโยชน์สาธารณะ ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งเป็นเรื่องความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อส่วนรวม การร่วมกันรักษาปกป้องประโยชน์ส่วนรวมของประเทศย่อมเป็นหน้าที่พลเมืองดี เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรม ทั้งเป็นการป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม

โดยในชั้นฎีกา ได้ให้เหตุผลถึงประเด็นที่เกี่ยวกับถ้อยคำในการแถลงข่าว ไว้ 4 เหตุผลดังนี้

1. ถ้อยแถลงเกี่ยวกับคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ นายชาญชัยแถลงว่า ศาลพิพากษายกฟ้อง โดยวินิจฉัยว่า นายชาญชัยไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย และนายชาญชัย ยังแถลงด้วยว่า ข้อเท็จจริงแห่งคดีตามคำฟ้องศาลยังไม่ได้วินิจฉัย พร้อมกับแจกสำเนาคำพิพากษาดังกล่าวให้แก่สื่อมวลชน การที่นายชาญชัยกล่าวถ้อยคำแก่สื่อมวลชนเช่นนั้น มิได้ทำให้ผลของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เปลี่ยนแปลงไปได้ว่าโจทก์กระทำการทุจริตตามคำฟ้อง

2. ถ้อยคำว่า จะเสนอเรื่องต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อติดตามเงิน 1.4 หมื่นล้านบาท ก็เป็นเรื่องที่นายชาญชัยแจ้งว่าจะดำเนินการในเรื่องนี้ต่อไปอย่างไร ไม่มีข้อความตอนใดในเอกสารถอดเทปการแถลงข่าว ยืนยันว่าโจทก์เป็นผู้กระทำการทุจริตโดยชัดแจ้ง เพียงมีความหมายทำให้เข้าใจได้ว่าควรจะต้องมีการตรวจสอบเกี่ยวกับเรื่องนี้เท่านั้น

3. ถ้อยแถลงว่า “เราทำทุกวิถีทางแล้วในฐานะภาคประชาชน ตามรัฐธรรมนูญก็แล้ว ตามอะไรก็แล้ว มันไปไม่ได้จริง ๆ มีปัญหาอุปสรรค ทั้งระบบด้วย ทั้งข้อกฎหมายด้วย ทั้งอำนาจรัฐด้วย ทั้งกระบวนการยุติธรรมด้วย นายชาญชัย จะเขียนด้วยลายมือนายชาญชัยเองจากเอกสารและหลักฐานนำขึ้นทูลเกล้าถวาย เพื่อถวายรายงานพระองค์ท่านให้ทราบสถานการณ์W นั้น เป็นเพียงข้อความที่ตัดพ้อถึงขั้นตอนการตรวจสอบการทุจริตว่าไม่อาจตรวจสอบได้ เนื่องจากติดปัญหาต่างๆ จึงคิดว่าจะดำเนินการต่อไป โดยจะกราบบังคมทูลถวายฎีกา เพื่อที่จะให้ทรงทราบถึงการทุจริตและประพฤติมิชอบ มิได้เฉพาะเจาะจงว่าโจทก์เป็นผู้กระทำการทุจริตหรือเป็นผู้มีอิทธิพลอยู่เหนือกฎหมายแต่อย่างใด

4. โจทก์นำถ้อยคำตามเอกสารถอดเทปคำแถลงข่าวมาแยกเป็นตอนๆ เพื่อที่จะให้เห็นว่าเป็นถ้อยแถลงที่เป็นการหมิ่นประมาทซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว จะต้องฎีกาถึงถ้อยแถลงของนายชาญชัยทั้งหมดในคราวเดียวกัน เพราะการที่จะพิจารณาว่าเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทหรือไม่ จะต้องพิจารณาถึงถ้อยแถลงจากเอกสารทั้งหมดในคราวเดียว เพื่อที่จะทราบถึงเหตุผล มูลเหตุจูงใจและเจตนาของผู้แถลงว่ามีเจตนาในการกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทหรือไม่

ซึ่งเมื่อพิจารณาจากการแถลงข่าวของนายชาญชัย ประกอบกับข้อความตามเอกสารถอดเทปคำแถลงข่าวแล้ว จะเห็นได้ว่ามูลเหตุที่มีการแถลงข่าว เกิดจากการที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง นายชาญชัย จึงจัดแถลงข่าวเกี่ยวกับผลคดีที่เกิดขึ้นว่า ยกฟ้องโดยวินิจฉัยว่าไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย โดยยังไม่ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงแห่งคดี พร้อมกับแจกสำเนาคำพิพากษาแก่สื่อมวลชน

ซึ่งนายชาญชัย ในฐานะที่เคยเป็น สส. และได้รับแต่งตั้งให้เป็นรองประธานอนุกรรมาธิการ ฯ ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับรู้ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นตามคำฟ้องในคดีอุทธรณ์จึงได้แถลงข่าวตามข้อเท็จจริงที่รับรู้มา โดยมิได้มีการยืนยันว่าโจทก์กระทำการทุจริต เพียงแต่มีการเสนอให้มีการตรวจสอบเท่านั้น ซึ่งในเรื่องนี้มีการนำเสนอไว้ในรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ นายชาญชัย มิได้กล่าวอ้างขึ้นมาโดยปราศจากข้อมูล ทั้งปรากฏข้อเท็จจริงว่าภายหลังการแถลงข่าว นายชาญชัยได้ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ตามถ้อยแถลงข่าวจริง แสดงให้เห็นว่าต้องการตรวจสอบเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างแท้จริง

ส่วนประเด็นเกี่ยวกับอำนาจ-หน้าที่ในการแถลงข่าว ศาลฎีกาได้ให้เหตุผลว่า การที่โจทก์อ้างว่า นายชาญชัย ในฐานะรองประธานอนุกรรมาธิการ ฯ ไม่มีอำนาจหน้าที่แถลงข่าวถึงผลการปฏิบัติงานต่อสื่อมวลชน และจะแสดงความคิดเห็นติชมหรือชี้นำสังคมในเรื่องใดไม่ได้ การแถลงข่าวของนายชาญชัย ไม่อาจอ้างได้ว่าเป็นการปฏิบัติตามหน้าที่ของอนุกรรมาธิการ ฯ นั้น ศาลฎีกาได้วินิจฉัยว่า ในขณะแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน นายชาญชัยไม่ได้อ้างว่าแถลงข่าวในฐานะอนุกรรมาธิการ ฯ แต่แถลงข่าวในฐานะที่เคยเป็น สส.และในฐานะโจทก์ในคดีอุทธรณ์ที่พิพากษายกฟ้อง โดยจะเห็นได้ว่ามีการแถลงข่าวที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (03 ก.ย. 66)

Tags: , ,
Back to Top