ตลาดหุ้นไทย ส.ค.บวกรับรัฐบาลใหม่แม้ปัจจัยต่างประเทศกดดัน-เศรษฐกิจไทยชะลอ

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ระบุว่า สุนทรพจน์ของประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในการประชุมวิชาการของเฟดที่เมือง Jackson Hole เมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา ส่งสัญญาณว่ายังคงยืนยันเป้าหมายเงินเฟ้อระยะยาวที่ 2% (จากปัจจุบันอยู่ที่ 3.2%) ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ และตลาดแรงงานยังคงชะลอตัวช้ากว่าคาด ทำให้ผู้ลงทุนคาดว่าอาจเห็นเฟดคงดอกเบี้ยที่ 5.25 – 5.50% ไปจนถึงปลายปีนี้ อีกทั้งผู้ลงทุนยังกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ที่มีบริษัทใหญ่บางแห่งในอุตสาหกรรมส่งสัญญาณว่ามีปัญหาด้านสภาพคล่อง ทำให้ sentiment ผู้ลงทุนโดยรวมในตลาดโลกอยู่ในเชิงลบ

นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลท. เปิดเผยว่า แม้ว่าสภาพัฒน์ฯ รายงานเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2/66 ขยายตัว 1.8% ชะลอลงจาก 2.6% ในไตรมาสก่อนหน้า โดยเป็นผลมาจากการส่งออกที่หดตัว อย่างไรก็ดี ในเดือน ส.ค.66 หลังจากการจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จเมื่อวันที่ 23 ส.ค.66 ส่งผลให้ SET Index ปรับเพิ่มขึ้น 6 วันติดต่อกันอยู่ที่ 1,576.67 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดนับตั้งแต่มีการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พ.ค. 66 โดย SET Index ปรับลงไปจุดต่ำสุดที่ 1,466.93 จุด และหากพิจารณาจากอัตราส่วน Forward PE ของ SET Index ค่อนข้างต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต ทำให้ผู้ลงทุนบุคคลและสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 7 เดือนต่อเนื่อง

ภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทย

  • ณ สิ้นเดือน ส.ค.66 SET Index ปิดที่ 1,565.94 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 0.6% จากเดือนก่อนหน้าซึ่งเป็นไปในทิศทางตรงกันข้ามกับดัชนีหลักทรัพย์อื่นๆ ในภูมิภาค และปรับลดลง 6.2% เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อนหน้า
  • ในเดือน ส.ค.66 กลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 65 ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มการเงิน กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มบริการ
  • ในเดือน ส.ค.66 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai อยู่ที่ 58,579 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า 21.1% โดยมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน 8 เดือนแรกปี 66 อยู่ที่ 57,904 ล้านบาท ผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิเป็นเดือนที่เจ็ด โดยในเดือน ส.ค.66 ผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 14,755 ล้านบาท อย่างไรก็ดี ผู้ลงทุนต่างประเทศมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 16
  • ในเดือน ส.ค.66 มีบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ซื้อขายใน SET 2 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ.พี.เอส.พี. สเปเชียลตี้ส์ (PSP) และ บมจ. เคซีจี คอร์ปอเรชั่น (KCG) และใน mai 1 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. ไอ ทู เอ็นเตอร์ไพรซ์ (I2)
  • Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือน ส.ค.66 อยู่ที่ระดับ 17.4 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 12.9 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 23.8 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 13.4 เท่า
  • อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือน ส.ค.66 อยู่ที่ระดับ 2.99% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.55%

ด้านภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ในเดือน ส.ค.66 ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 528,209 สัญญา เพิ่มขึ้น 11.2% จากเดือนก่อน ที่สำคัญจากการเพิ่มขึ้นของ SET50 Index Futures และ Single Stock Futures และในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2566 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 544,291 สัญญา ลดลง 0.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures

นายศรพล กล่าวว่า แนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยหลังมีรัฐบาลใหม่ โดยปกติแล้วถ้าสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้เร็วและมีนโยบายที่แน่ชัดจะยิ่งทำให้ความเชื่อมั่นการลงทุนกลับมา แต่หลักสำคัญคือการผ่านงบประมาณและการแจกจ่ายงบประมาณให้เร็วที่สุด และการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน ซึ่งเมื่อดูคำแถลงนโยบายจะเห็นว่ารัฐบาลพยายามจะทำให้เกิดเงินหมุนเวียนในช่วงที่งบประมาณยังรอการอนุมัติ ผ่านการแก้ปัญหาเศรษฐกิจในระยะสั้น ดังนั้นถ้าภาพเหล่านี้มีการแก้ไขปัญหาก็จะส่งผลดีต่อตลาดทุน ส่วนระยะยาวต้องติดตามขีดความสามารถการแข่งขัน รอดูรายละเอียดนโยบายของรัฐบาลเพิ่มเติม รวมถึงวิธีการที่จะดำเนินงานรวมถึงกรอบระยะเวลาในการดำเนินนโยบายต่าง ๆ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (11 ก.ย. 66)

Tags: , , ,
Back to Top