“บียอนด์ มีท” หุ้นพุ่ง 75% หลังรายงานรายรับสูงเกินคาด-ประกาศขึ้นราคาผลิตภัณฑ์

บียอนด์ มีท (Beyond Meat) ประกาศในวันอังคาร (27 ก.พ.) ว่าจะปรับขึ้นราคาผลิตภัณฑ์ และลดต้นทุนลงอย่างมากในปีนี้ หลังจากรายงานรายได้รายไตรมาสสูงเกินกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ซึ่งส่งให้หุ้นของบริษัทพุ่งขึ้นมากถึง 75%

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า บียอนด์ มีท คือบริษัทผลิตเนื้อสัตว์ที่ทำจากโปรตีนจากพืชชื่อดังของสหรัฐ และเป็นซัพพลายเออร์ให้กับแบรนด์ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดชื่อดังหลายแห่ง รวมถึงแมคโดนัลด์และยัม แบรนด์ส (Yum Brands)

ในไตรมาสสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 2566 ยอดขายเพิ่มขึ้น 8% หลังจากที่เพิ่มขึ้น 3.5% ในไตรมาสที่ 3

ในขณะที่รายรับสุทธิในไตรมาสที่ 4 ของปี 2566 ลดลง 7.8% สู่ระดับ 73.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่สูงกว่าการประมาณการเฉลี่ยของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 66.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

บียอนด์ มีท เปิดเผยว่าจะปรับขึ้นราคาสายผลิตภัณฑ์บางประเภทโดยจะเริ่มต้นตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวเพื่อพยายามฟื้นฟูอัตราผลกำไร

“แม้ว่าการปรับขึ้นราคาจะแตกต่างออกไปตามช่องทางการจัดจำหน่ายต่าง ๆ และสายผลิตภัณฑ์ แต่เราคาดว่าผลกระทบโดยรวมของการเปลี่ยนแปลงราคาเหล่านี้จะช่วยปรับปรุงอัตราผลกำไรให้ดีขึ้นอย่างมากตลอดช่วงเวลาที่เหลือของปี” นายอีธาน บราวน์ ซีอีโอของบียอนด์ มีท กล่าว

รายงานระบุว่า ก่อนหน้านี้บียอนด์มีทเคยปรับลดราคาเนื้อโปรตีนจากพืชมาแล้ว เพื่อให้มีราคาไม่สูงมากเมื่อเทียบกับเนื้อสัตว์ปกติ โดยมีเป้าหมายเพื่อดึงดูดผู้บริโภคชาวสหรัฐที่คำนึงถึงงบประมาณในกระเป๋า ในช่วงที่อุปสงค์เนื้อโปรตีนจากพืชในสหรัฐยังคงซบเซา

ในปัจจุบัน บียอนด์ มีท คาดการณ์ว่าอัตรากำไรขั้นต้นในปี 2567 จะอยู่ในช่วง 15-19% (mid to high teens) ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากระดับติดลบ 24.1% ในปี 2566 โดยการเพิ่มขึ้นเป็นผลจากมาตรการลดต้นทุน รวมถึงการยกเลิกสายผลิตภัณฑ์เจอร์กีหรือเนื้อแห้ง

ด้านนายจอห์น โอ นักวิเคราะห์จากบริษัทวิจัยเติร์ด บริดจ์ (Third Bridge) ให้ความเห็นว่า การเปิดตัวแผ่นเนื้อบด Beyond IV ของบริษัท ในช่องทางการค้าปลีกต่าง ๆ ในสหรัฐ มีท่าทีว่าจะเป็นแนวโน้มที่ดี ซึ่งผลิตภัณฑ์นี้อาจสามารถดึงดูดผู้บริโภคที่เคยหันหลังให้กับเนื้อสัตว์จากโปรตีนพืช เนื่องจากมีความกังวลด้านสุขภาพและทัศนคติเชิงลบต่อส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ของบียอนด์ มีท

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (28 ก.พ. 67)

Tags: , ,
Back to Top