
นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ความไม่แน่นอนของนโยบายด้านภาษีนำเข้า ของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ส่งผลกระทบต่อภาคการค้า การลงทุน และเศรษฐกิจทั่วโลก โดยล่าสุด องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 68 ลงมาอยู่ที่ 2.9% และปรับประมาณการเศรษฐกิจสหรัฐฯ ลงเหลือ 1.6% ซึ่งความไม่แน่นอนของนโยบายของสหรัฐฯ ทั้งด้านการค้า การเงิน การคลัง การศึกษา และการเมืองภายในประเทศ ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อค่าเงิน เสถียรภาพ และศักยภาพของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
โดยค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงกว่า 8% นับตั้งแต่ประธานาธิบดีทรัมป์ เข้ารับตำแหน่ง ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น ด้านธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ยังคงต้องดำเนินนโยบายอย่างระมัดระวัง ท่ามกลางความเสี่ยงจากเงินเฟ้อที่อาจเร่งตัวขึ้นจากการปรับขึ้นภาษีศุลกากร และความเสี่ยงที่เศรษฐกิจอาจชะลอตัว ถึงแม้ว่าจะเผชิญแรงกดดันให้ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง
- ศก.ไทยครึ่งปีหลัง เสี่ยงถดถอยทางเทคนิค
น.ส.ณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า มาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ หลังการชะลอที่จะสิ้นสุดลงในวันที่ 9 ก.ค. 68 ยังมีความไม่แน่นอนสูง ทำให้ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะยังคงเติบโตได้ที่ 1.4% และเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 68 ยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะถดถอยทางเทคนิค
อย่างไรก็ตาม หากอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ในหลายประเทศยังคงไว้ที่ระดับ 10% ตลอดทั้งปี คาดว่าการส่งออกไทยจะขยายตัวได้ที่ 0.5% และเศรษฐกิจไทย จะมีแนวโน้มเติบโตได้ 1.8%
น.ส.เกวลิน หวังพิชญสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ภาษีสหรัฐฯ ที่ไม่ชัดเจน จะทำให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมหดตัวต่อเนื่อง จากความเสี่ยงการส่งออกไปสหรัฐฯ และจีน ในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนรถยนต์ เครื่องจักรกล เหล็ก ผลิตภัณฑ์พลาสติก เคมีภัณฑ์ เป็นต้น รวมถึงการแข่งขันในประเทศกับสินค้านำเข้า โดยคาดว่าสัดส่วนมูลค่าการนำเข้าสินค้าอุปโภคต่อยอดขายของธุรกิจค้าปลีกปี 68 จะอยู่ที่กว่า 30% และคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้ จะหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี
นายรุจิพันธ์ อัสสะรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มองว่า ยอดขายรถยนต์ในประเทศ จะหดตัวลึกขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง โดยอาจลดลง 1.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 1% เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก จากภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอและการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวด แม้ว่าจะมีปัจจัยบวกจากยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicle : BEV) ที่เร่งขึ้น จากการแข่งขันด้านราคาของรถจากจีน ขณะที่รายได้ภาคเกษตรไทยมีแนวโน้มหดตัว จากแรงกดดันทั้งด้านราคา และความต้องการสินค้าเกษตรที่ลดลง รวมถึงการแข่งขันที่สูงขึ้นในตลาดสินค้าเกษตรโลก
น.ส.กาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัยบริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า มุมมองด้านสภาวะการระดมทุนของภาคเอกชนยังอ่อนแอต่อเนื่อง จากความต้องการสินเชื่อที่ชะลอลง การชำระคืนหนี้ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงสถาบันการเงินที่ยังคงกังวลเรื่องปัญหาหนี้เสีย ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ปรับประมาณการสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยในปีนี้ลดลง 0.6% จากเดิมที่คาดโต 0.6%
ในขณะเดียวกัน มองว่า NPL ยังเป็นขาขึ้น แม้ว่าตัวเลขอาจไม่เกิน 3% ต่อสินเชื่อรวม โดยสถาบันการเงินจะยังคงพยายามเร่งจัดการหนี้เสีย และหนี้ที่เริ่มมีวันค้างชำระ ด้วยการปรับโครงสร้างหนี้และการขายหนี้เสียออกไป เป็นต้น
- แนะภาครัฐ ใช้งบอย่างมีประสิทธิภาพ-ภาคธุรกิจ ต้องรักษากระแสเงินสด
ด้าน นายกฤตย์ สีตะธนี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า กิจกรรมด้าน ESG ของภาคเอกชนไทยก็ชะลอลงเช่นกัน ท่ามกลางหลายปัจจัยลบ การออกหุ้นกู้ Sustainable Finance ลดลง โดยส่วนหนึ่งเปลี่ยนมาเป็นการใช้บริการสินเชื่อสีเขียวจากธนาคารพาณิชย์ ที่ข้อมูลเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อสีเขียวในปีนี้ จะยังคงขยายตัวค่อนข้างสูง โดยกลุ่มที่ยังระดมทุนอยู่ เน้นไปที่ธุรกิจรายใหญ่ผ่านโครงการ Project Finance ที่มีแผนการระดมทุนอยู่แล้ว ขณะที่ธุรกิจ SME คงเลือกชะลอแผนไปก่อน หรือเน้นลงทุนในกิจกรรมที่เกี่ยวกับแผงโซลาร์เซลล์ (Solar Panel), การประหยัดพลังงาน หรือรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) ที่เห็นความคุ้มค่าค่อนข้างชัดเจนในระยะสั้น
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่าการเตรียมรับมือทิศทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง ที่มีความไม่แน่นอนมากขึ้น ภาครัฐควรเน้นการใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถเน้นมาตรการระยะสั้นที่ยังมีความจำเป็น แต่ต้องให้ความสำคัญเพิ่มขึ้นกับมาตรการระยะยาว เพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยด้วย
ส่วนมาตรการเยียวยาเฉพาะหน้า เพื่อลดแรงกระแทกให้กับผู้ผลิตที่ได้รับผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ คงต้องมุ่งสนับสนุนสินค้าที่ใช้วัตถุดิบหรือผลิตในประเทศ (Local Content และ Made in Thailand) รวมทั้งเร่งพลิกฟื้นความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยว และกระตุ้นตลาดนักท่องเที่ยวหลัก ขณะที่คำแนะนำสำหรับธุรกิจ คือ การรักษากระแสเงินสด เพื่อรองรับความไม่แน่นอนที่ยังอยู่ในระดับสูง
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (11 มิ.ย. 68)
Tags: บุรินทร์ อดุลวัฒนะ, ศูนย์วิจัยกสิกรไทย, เศรษฐกิจโลก, เศรษฐกิจไทย