
นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บมจ.กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ [GULF] กล่าวว่า ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกได้วางแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษ ภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) โดยมีวัตถุประสงค์ในการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก (อีสเทิร์นซีบอร์ด) ให้มีโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคที่มีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นการยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย โดยมีโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 เป็นหนึ่งในโครงการสำคัญของแผนพัฒนา EEC ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถและความจุในการขนถ่ายก๊าซธรรมชาติ เสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ
ทั้งนี้ บริษัท กัลฟ์ เอ็มทีพี แอลเอ็นจี เทอร์มินอล จำกัด (GMTP) ได้จัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโครงการมาบตาพุดดังกล่าว โดยเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง GULF และบริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด ซึ่งถือหุ้นใน 70% และ 30% ตามลำดับ โดย GMTP ได้ลงนามในสัญญาร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) กับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เป็นระยะเวลา 35 ปี เพื่อดำเนินโครงการมาบตาพุด
โครงการดังกล่าวประกอบด้วย งานถมทะเลราว 1,000 ไร่ และงานพัฒนาท่าเทียบเรือก๊าซและสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG Terminal) บนพื้นที่ถมทะเลประมาณ 200 ไร่ โดยในส่วนของงานถมทะเลนั้น GMTP ได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือน ธ.ค.64 และถมทะเล แล้วเสร็จเป็นที่เรียบร้อยในเดือน มี.ค.68 ที่ผ่านมา
และ ในวันนี้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นของ GMTP มีมติอนุมัติให้โครงการเริ่มดำเนินการพัฒนาท่าเทียบเรือก๊าซและสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว ภายใต้วงเงินลงทุนประมาณไม่เกิน 60,000 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในไตรมาส 4/68 และเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ภายในไตรมาส 1/72 โดยจะเป็นสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลวแห่งที่ 3 ของไทย ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการรักษาเสถียรภาพด้านพลังงานของประเทศ และช่วยรองรับความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มขึ้นในภาคอุตสาหกรรมและภาคการผลิตไฟฟ้า
นอกจากนี้ การลงทุนในโครงการมาบตาพุดยังเป็นการต่อยอดธุรกิจของกลุ่มบริษัทฯ ให้เชื่อมโยงอย่างครบวงจรระหว่างธุรกิจผลิตไฟฟ้าและ ธุรกิจนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) โดยมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลักคือผู้ได้รับใบอนุญาตจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติในประเทศ ซึ่งรวมถึงบริษัทในกลุ่ม ได้แก่ บริษัท หินกองเพาเวอร์โฮลดิ้ง จำกัด (HKH) และบริษัท กัลฟ์ แอลเอ็นจี จำกัด (GLNG) ที่มีแนวโน้มการนำเข้า LNG ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าภายใต้กลุ่มบริษัทฯ
ทั้งนี้ ธุรกิจสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเป็นธุรกิจที่ได้รับการควบคุมโดยภาครัฐ (Regulated Business) เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินกิจการ และได้รับรายได้อย่างเหมาะสม สอดคล้องกับแผนการพัฒนาของภาครัฐ โดยรายได้ของโครงการจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ได้แก่ 1) ค่าบริการส่วนของต้นทุนคงที่ (Demand Charge) ซึ่งจะสะท้อนเงินลงทุนค่าใช้จ่ายและผลตอบแทนจากการลงทุนในรูปต้นทุน และ 2) ค่าบริการส่วนของต้นทุนแปรผัน (Commodity Charge) ซึ่งคำนวณจากค่าใช้จ่ายในส่วนที่เป็นต้นทุนแปรผันในการให้บริการ (Variable Cost) ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่แปรผันโดยตรงตามปริมาณการแปรสภาพก๊าซธรรมชาติเหลวเป็นก๊าซ ซึ่งต้นทุนทั้งหมดจะถูกส่งผ่าน (Passed Through) ไปยังลูกค้าที่มาใช้บริการโครงการ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 มิ.ย. 68)