
เบเคอร์ ฮิวช์ส (Baker Hughes) บริษัทผู้ให้บริการด้านพลังงานของสหรัฐฯ เปิดเผยในรายงานล่าสุดเมื่อวันพฤหัสบดี (3 ก.ค.) ว่า บริษัทพลังงานในสหรัฐฯ ได้ลดจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติลงเป็นสัปดาห์ที่ 10 ติดต่อกัน ซึ่งนับเป็นการลดลงต่อเนื่องยาวนานที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ค. 2563
รายงานระบุว่า จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซโดยรวม ซึ่งเป็นตัวชี้วัดการผลิตในอนาคต ได้ลดลง 8 แท่น สู่ระดับ 539 แท่นในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 3 ก.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2564
ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว จำนวนแท่นขุดเจาะโดยรวมลดลง 46 แท่น หรือคิดเป็น 8%
เมื่อแยกตามประเภท พบว่าแท่นขุดเจาะน้ำมันลดลง 7 แท่น สู่ระดับ 425 แท่น ซึ่งต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2564 ขณะที่แท่นขุดเจาะก๊าซลดลง 1 แท่น สู่ระดับ 108 แท่น
การลดลงของจำนวนแท่นขุดเจาะเกิดขึ้นหลังจากที่ลดลงไปแล้วประมาณ 20% ในปี 2566 และ 5% ในปี 2567 โดยมีสาเหตุจากราคาน้ำมันและก๊าซในสหรัฐฯ ที่ลดต่ำลงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้บริษัทพลังงานหันไปให้ความสำคัญกับการสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นและชำระหนี้สิน มากกว่าการเพิ่มกำลังการผลิต
แม้นักวิเคราะห์หลายรายได้ประเมินว่า ราคาน้ำมันดิบจะปรับตัวลดลงเป็นปีที่ 3 ติดต่อกันในปี 2568 แต่สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐฯ (EIA) ก็คาดการณ์ว่า กำลังการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นจากสถิติสูงสุด 13.2 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2567 สู่ระดับประมาณ 13.4 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2568
สำหรับก๊าซธรรมชาตินั้น EIA คาดว่าราคาก๊าซจะพุ่งสูงขึ้นถึง 84% ในปี 2568 ซึ่งจะกระตุ้นให้ผู้ผลิตกลับมาเพิ่มกิจกรรมการขุดเจาะอีกครั้ง หลังจากที่ราคาที่ลดลง 14% ในปี 2567 ทำให้หลายบริษัทต้องลดการผลิตลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19
EIA ประเมินว่ากำลังการผลิตก๊าซจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.059 แสนล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในปี 2568 จากระดับ 1.032 แสนล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในปี 2567
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (04 ก.ค. 68)