
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 3% ในวันอังคาร (29 ก.ค.) โดยตลาดได้ปัจจัยบวกจากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ขู่ว่าจะใช้มาตรการต่าง ๆ เพื่อกดดันให้รัสเซียเร่งยุติสงครามในยูเครน นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังได้แรงหนุนจากความหวังที่ว่า สถานการณ์ตึงเครียดด้านการค้าค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้ารายใหญ่จะคลี่คลายลง
- ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 2.50 ดอลลาร์ หรือ 3.75% ปิดที่ 69.21 ดอลลาร์/บาร์เรล
- ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 2.47 ดอลลาร์ หรือ 3.53% ปิดที่ 72.51 ดอลลาร์/บาร์เรล
ราคาน้ำมัน WTI และน้ำมันเบรนท์ ต่างก็ปิดที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 20 มิ.ย.ปีนี้ โดยได้แรงหนุนจากการที่ปธน.ทรัมป์ยังคงเดินหน้ากดดันรัสเซียให้เร่งยุติสงครามในยูเครน โดยล่าสุดปธน.ทรัมป์กล่าวในวันอังคารว่า เขาจะเริ่มใช้มาตรการภาษีศุลกากรและมาตรการอื่น ๆ กับรัสเซีย “ภายใน 10 วันนับจากวันนี้” หากรัสเซียไม่แสดงความคืบหน้าในการยุติสงครามในยูเครน
ในวันเดียวกันนั้น สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ กล่าวว่า เขาได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่รับทราบจีนว่า ภายใต้มาตรการภาษีทุติยภูมิ (Secondary Tariffs) ที่สหรัฐฯ จะนำมาใช้กับรัสเซียนั้น จีนอาจเผชิญกับภาษีศุลกากรในอัตราสูงหากยังคงซื้อน้ำมันจากรัสเซีย
ก่อนหน้านี้ ปธน.ทรัมป์กล่าวในวันที่ 14 ก.ค.ว่า สหรัฐฯ จะใช้มาตรการภาษีทุติยภูมิที่รุนแรงต่อรัสเซีย หากรัสเซียไม่ยุติสงครามในยูเครน ซึ่งจะทำให้ผู้ซื้อน้ำมันจากรัสเซียจะต้องเผชิญกับภาษีศุลกากรสูงถึง 100%
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังคงได้ปัจจัยบวกจากการที่สหรัฐฯ สามารถบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหภาพยุโรป (EU) โดยสหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีศุลกากรต่อสินค้านำเข้าจาก EU ในอัตรา 15% ลดลงจากก่อนหน้านี้ที่สหรัฐขู่เรียกเก็บในอัตรา 30%
สถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) รายงานว่าสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 1.539 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 25 ก.ค. ขณะที่นักลงทุนจับตาตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบอย่างเป็นทางการจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐฯ (EIA) ในวันนี้
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (30 ก.ค. 68)