
บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย [SCC] เปิดเผยผลประกอบการในไตรมาส 2/68 ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 17,337 ล้านบาท จากไตรมาส 2/67 ที่มีกำไรสุทธิ 3,708 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13,629 ล้านบาท หรือ 368% โดยมาจากรายการพิเศษ คือรายการปรับโครงสร้างที่เกี่ยวกับ PT Chandra Asri Pacific Tbk. (CAP) รวม +16,712 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายปรับโครงสร้างการดำเนินงานและธุรกิจ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน รวม -1,542 ล้านบาท ทำให้มีรายการพิเศษในไตรมาสนี้ 15,170 ล้านบาท
ส่วนกำไรที่ไม่รวมรายการพิเศษ อยู่ที่ 2,167 ล้านบาท ลดลง 1,541 ล้านบาท หรือ 42% YoY และลดลง 97% QoQ สาเหตุหลักจากค่าใช้จ่ายจากลองเซินปิโตรเคมิคอลส์คอมเพล็กซ์ (LSP) เพิ่มขึ้น (จากค่าเสื่อมราคาและ ดอกเบี้ย) ประกอบกับในไตรมาสที่ 2/68 เอสซีจี เคมิคอลส์ (เอสซีจีซี) มีขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ 913 ล้านบาท ในขณะที่ช่วงเดียวกันของปีก่อน มีขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ 363 ล้านบาท รวมถึงค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น และผลการดำเนินงานที่ลดลงของเอสซีจีพี และเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง และเอสซีจี ดิสทริบิวชั่นแอนด์รีเทล
ในไตรมาส 2/68 บริษัทฯมีกระแสเงินสดแข็งแกร่ง มี EBITDA อยู่ที่ 17,431 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% จากเงินปันผลรับตามฤดกาลจากการลงทุนในธุรกิจอื่น (SCG Investment) รวมถึงผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นจากไตรมาสก่อน ของธุรกิจซีเมนต์ แอนดกรีนโซลูชั่นส์ และธุรกิจแพคเกจจิ้ง
ส่วนรายได้จากการขายในไตรมาส 2/68 อยู่ที่ 124,685 ล้านบาท +0.2% ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน (QoQ) และ ลดลง 3% เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน (YoY) ส่วนใหญ่จากทุกธุรกิจ ยกเว้น เอสซีจี ซีเมนต์ แอนด์ กรีนโซลูชันส์ ที่มียอดขายเพิ่มขึ้นจากปริมาณขาย ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการปรับราคาสินค้าในประเทศ
ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 68 EBITDA อยู่ที่ 30,320 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากเงินปันผลรับจากการลงทุนในธุรกิจอื่น (SCG Investment) ที่เพิ่มขึ้น และผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของเอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ จากยอดขายที่ปรับเพิ่มขึ้น การบริหารจัดการภายในให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ประกอบกับการปรับราคาสินค้าในประเทศ
กำไรสำหรับงวดอยู่ที่ 18,436 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12,303 ล้านบาท หรือ 201% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งรวมรายการพิเศษ แต่กำไรสำหรับงวดที่ไม่รวมรายการพิเศษ อยู่ที่ 3,266 ล้านบาท ลดลง 2,867 ล้านบาท หรือ 47% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากค่าใช้จ่ายจากลองเซินปิโตรเคมิคอลส์คอมเพล็กซ์ (LSP) เพิ่มขึ้น (จากค่าเสื่อมราคาและดอกเบี้ย) ประกอบกับในช่วงครึ่งปีแรก บมจ.เอสซีจี เคมิคอลส์ มีขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ 1,001 ล้านบาท ขณะที่ช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ 597 ล้านบาท รวมถึงค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น
รายได้จากการขายอยู่ที่ 249,077 ล้านบาท ลดลง 1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากยอดขายที่ลดลงจากเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง และ เอสซีจี ดิสทริบิวชั่นแอนด์รีเทล เอสซีจีพี และเอสซีจี เดคคอร์
สำหรับแนวโน้มธุรกิจ โดยธุรกิจเคมิคอลส์ แนวโน้มราคาน้ำมันอยู่ในระดับทรงตัว ส่วนความต้องการใช้ซีเมนต์ในประเทศคาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการดำเนินโครงการของภาครัฐ เช่นเดียวกับในภูมิภาคที่ยังคงมีอัตราการเติบโตสูงที่ประมาณ 5-10%
SCC มีความมุ่งมั่นต่อเนื่องในการลดหนี้สินสุทธิ โดยมีการดำเนินงาน ดังนี้
1. รายจ่ายลงทุนและเงินลงทุนในปี 68 อยู่ที่ประมาณ 30,000 ล้านบาท และมีความยืดหยุ่นในการปรับลด
2. EBITDA คาดการณ์ปรับเพิ่มขึ้นในปี 68 เมื่อเทียบกับปี 67 ซึ่งเป็นผลมาจากการบริหารจัดการภายใน ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
3.โอกาสในการขายสินทรัพย์ (Asset Divestments)
ในปี 68 SCC มีหุ้นกู้ที่ครบกำหนดอยู่ที่ 55,200 ล้านบาท โดยอัตราการต่ออายุหุ้นกู้ (Re-subscription rate) ของเอสซีจี ในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ประมาณ 90% นอกจากนี้ยังเตรียมความพร้อมสำหรับช่วงครึ่งปีหลัง เน้นเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารสินทรัพย์ในธุรกิจในอาเซียน ดำเนินงานต่อเนื่องบริหารจัดการภายในเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ เพิ่มสัดส่วนสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (High Value-Added) หรือ HVA และเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าโดยพัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพที่เหมาะสมกับราคา (Smart Value Product) ขยายปูนคาร์บอนต่ำ Gen 2 และ Gen 3 รวมถึงขยายไปยังตลาดอาเซียน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (30 ก.ค. 68)