ดาวโจนส์ปิดลบ 224.48 จุดจากแรงขายทำกำไร หุ้น Eli Lilly ร่วงฉุดตลาด

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันพฤหัสบดี (7 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนขายทำกำไรหลังจากดัชนีพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ บรรยากาศการซื้อขายในตลาดยังถูกกดดันจากการร่วงลงของหุ้นอีไล ลิลลี่ (Eli Lilly) ซึ่งเป็นบริษัทยารายใหญ่ หลังจากผลการทดลองยาลดน้ำหนักของบริษัทออกมาน่าผิดหวัง

  • ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 43,968.64 จุด ลดลง 224.48 จุด หรือ -0.51%,
  • ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,340.00 จุด ลดลง 5.06 จุด หรือ -0.08% และ
  • ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 21,242.70 จุด เพิ่มขึ้น 73.27 จุด หรือ +0.35%

ในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มในดัชนี S&P500 หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ปรับตัวลงมากที่สุด โดยร่วงลง 1.15% ตามด้วยหุ้นกลุ่มการเงินร่วงลง 1.13% ส่วนหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคดีดตัวขึ้น 1.05% ตามด้วยหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวขึ้น 0.73%

อิไล ลิลลี่ เปิดเผยว่า ผลการทดลองยาลดน้ำหนัก GLP-1 ในขั้นสุดท้ายพบว่า ยาดังกล่าวช่วยให้ผู้ป่วยลดน้ำหนักตัวลงได้เฉลี่ย 12.4% ซึ่งต่ำกว่าผลการทดลองยาลดน้ำหนัก Wegovy ของบริษัทโนโว นอร์ดิสค์ (Novo Nordisk) ข่าวดังกล่าวได้ฉุดหุ้นอีไล ลิลลี่ ดิ่งลง 14.1% แม้บริษัทประกาศเพิ่มคาดการณ์กำไรและยอดขายปีงบการเงิน 2568 ก็ตาม

หุ้นอินเทล (Intel) ร่วงลง 3.1% หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เรียกร้องให้นายลิป-บู ตัน ซีอีโอของอินเทลลาออก โดยระบุว่าซีอีโอผู้นี้มีผลประโยชน์ทับซ้อนโดยอาศัยความสัมพันธ์ที่มีกับบริษัทจีน ขณะที่สื่อรายงานว่านายตันได้ลงทุนในบริษัทจีนหลายแห่ง รวมทั้งบริษัทบางแห่งที่เกี่ยวข้องกับกองทัพของจีน ทั้งโดยตรงและผ่านกองทุนร่วมลงทุน

หุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ (Caterpillar) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเครื่องมือก่อสร้างรายใหญ่ของสหรัฐฯ ร่วงลง 2.5% และเป็นปัจจัยฉุดดัชนีดาวโจนส์ หลังจากบริษัทเตือนว่ามาตรการภาษีศุลกากรของรัฐบาลทรัมป์จะทำให้บริษัทมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 1.5 พันล้านดอลลาร์ในปี 2568

ทั้งนี้ มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal tariffs) ที่ปธน.ทรัมป์ประกาศใช้กับประเทศคู่ค้าหลายสิบประเทศ เริ่มมีผลบังคับใช้แล้วในวันพฤหัสบดีที่ 7 ส.ค. ซึ่งจะส่งผลให้ประเทศเหล่านี้ถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราตั้งแต่ 10% ไปจนถึง 50% ทำให้อัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ พุ่งสูงที่สุดในรอบศตวรรษ

ส่วนดัชนี Nasdaq ได้รับแรงหนุนจากหุ้นแอปเปิ้ล (Apple) ที่พุ่งขึ้น 3.2% หลังจากปธน.ทรัมป์ประกาศว่าจะยกเว้นภาษีนำเข้าชิปและเซมิคอนดักเตอร์ในอัตรา 100% ให้กับบริษัทที่มีการผลิตหรือมีแผนที่จะผลิตในสหรัฐฯ โดยแอปเปิ้ลได้ประกาศการลงทุนครั้งใหม่วงเงิน 1 แสนล้านดอลลาร์ในสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้การลงทุนรวมของแอปเปิ้ลในสหรัฐฯ ตลอด 4 ปีข้างหน้าเพิ่มเป็น 6 แสนล้านดอลลาร์

กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก เพิ่มขึ้น 7,000 ราย สู่ระดับ 226,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 219,000 ราย โดยหลังการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว นักลงทุนยังคงคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนก.ย. ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 93.2% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนก.ย.

ปธน.ทรัมป์เปิดเผยก่อนที่ตลาดหุ้นนิวยอร์กจะปิดทำการว่า เขาจะเสนอชื่อสตีเฟน มิแรน ประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกคณะผู้ว่าการเฟดแทนเอเดรียนา คูเกลอร์ เป็นการชั่วคราวจนถึงวันที่ 31 ม.ค. 2569 โดยที่เขาจะยังคงมองหาผู้ที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งดังกล่าวเป็นการถาวร

นักลงทุนซึมซับรายงานข่าวที่ว่า คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ สมาชิกคณะกรรมการผู้ว่าเฟด และเป็นสมาชิกถาวรของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) ได้กลายเป็นผู้ที่มีแนวโน้มมากที่สุดที่จะได้รับการคัดเลือกให้เป็นประธานเฟดคนใหม่ โดยสื่อระบุว่า วอลเลอร์ได้พบกับคณะทำงานของปธน.ทรัมป์ ซึ่งต่างก็ประทับใจในตัวเขา แม้ว่าเขายังไม่ได้พบกับปธน.ทรัมป์โดยตรง

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (08 ส.ค. 68)