
พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผู้บังคับการกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 (ผบก.สอท.1) ได้นำสำนวนการสอบสวนคดีคลิปเสียงสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ที่สั่งการให้นายฮวด คนสนิท ไล่ล่าสั่งเก็บนักเคลื่อนไหวชาวกัมพูชาที่หนีมากบดานในประเทศไทย ส่งให้อัยการสูงสุด (อสส.) พิจารณาว่าเป็นคดีนอกราชอาณาจักรหรือไม่ โดยมี น.ส.ฐิติวดี สินธวณรงค์ อัยการประจำสำนักงานอัยการสูงสุด และรองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นผู้รับเรื่อง
โดยจากการสอบสวนเชื่อว่าเป็นการกระทำความผิดนอกราชอาณาจักรตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 20 ระบุว่า ให้ส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดเป็นผู้ดำเนินการตามกฎหมายในการพิจารณาสำนวนและสั่งการตั้งคณะสอบสวนต่อไป
พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ กล่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นที่ สภ.บ้านฉาง จังหวัดระยอง เมื่อเดือน ส.ค.66 ผู้ถูกทำร้ายตรงกับชื่อที่ระบุในคลิปเสียงคือ นายพร พันนา นักเคลื่อนไหวทางการเมืองชาวกัมพูชา ฝั่งตรงข้ามสมเด็จฮุนเซน โดยมีคนร้าย 3 คนร่วมกันทำร้ายร่างกายนายพร จนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายทั้งร่างกายและจิตใจ โดยจากข้อมูลนายพร ได้ลี้ภัยไปที่ประเทศสหรัฐฯ จึงมองว่าการกระทำของสมเด็จฮุนเซนเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 มีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ในคลิปเสียงมีการสั่งให้บุคคลชื่อ นายเคลียง ฮวด ชาวกัมพูชา ทำหน้าที่ดำเนินการในประเทศไทย และมีเหตุการณ์เกิดขึ้นจริง มีคนทำร้ายและผู้ถูกทำร้ายเป็นไปตามในคลิปเสียง โดยตัวของนายเคลียง ฮวด ขณะนี้ไม่ได้อยู่ในประเทศไทย รายละเอียดทั้งหมดอยู่ในสำนวนการสอบสวน
พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ กล่าวว่า หลังมีการพิจารณาสำนวนแล้วหากพบว่า มีการกระทำผิดเกิดขึ้นจริงก็จะมีการออกหมายจับ ในกรณีที่ผู้ต้องหาอยู่ต่างประเทศจะมีการออกหมายแดง ประสานความร่วมมือตำรวจสากลที่มีสมาชิก 196 ประเทศ แต่จะไปถึงขั้นนั้นหรือไม่ ต้องอยู่ในขั้นตอนตามกฎหมายของประเทศไทยก่อน
ส่วนคดีคลิปเสียงการสนทนาระหว่างสมเด็จฮุนเซนกับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มีการประชุมหารือกับทางสำนักงานอัยการสอบสวนไปแล้ว คาดว่าจะดำเนินเสร็จสิ้นภายในเดือน ส.ค.นี้
ด้าน น.ส.ฐิติวดี กล่าวว่า หลังจากรับสำนวนจากพนักงานสอบสวน ขั้นตอนต่อไปจะส่งให้อัยการสูงสุดพิจารณา เพื่อให้อัยการสูงสุดมีคำสั่งส่งสำนวนให้สำนักงานอัยการสอบสวนพิจารณาว่า เป็นคดีนอกราชอาณาจักรหรือไม่ ก่อนมีความเห็นเสนอกลับไปให้อัยการสูงสุดทราบ เพื่อพิจารณาสั่งการตั้งคณะพนักงานสอบสวนเพื่อพิจารณาสำนวนว่าคดีมีมูลพอฟ้องต่อศาลหรือไม่ เป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 20
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (08 ส.ค. 68)