
ธนาคารแบงก์ออฟอเมริกาคอร์ป (Bank of America Corp – BofA) เปิดเผยผลสำรวจรายเดือนที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 31 ก.ค.-7 ส.ค. 2568 โดยสอบถามผู้จัดการกองทุน 169 ราย ซึ่งบริหารสินทรัพย์รวม 4.13 แสนล้านดอลลาร์ พบว่า ประมาณ 91% ของผู้ตอบแบบสอบถามมองว่า หุ้นสหรัฐฯ มีราคาสูงเกินจริง ซึ่งเป็นสัดส่วนสูงสุดในประวัติการณ์ย้อนหลังตั้งแต่ปี 2544
แม้ว่าการจัดสรรเงินลงทุนในหุ้นทั่วโลกเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. 2568 แต่ยังคงมีผู้จัดการกองทุน 16% ที่ลดน้ำหนักลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ
ความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยรวมดีขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือน นับตั้งแต่ก่อนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเก็บภาษีจำนวนมากที่สร้างความปั่นป่วนในตลาดและความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ไมเคิล ฮาร์ทเน็ตต์ นักกลยุทธ์ของ BofA ระบุว่า นักลงทุนมองว่า มีความเป็นไปได้น้อยที่สุดที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรง นับตั้งแต่เดือนม.ค. 2568 ซึ่งสะท้อนความมั่นใจในตลาด
หุ้นสหรัฐฯ ทำสถิติสูงสุดใหม่จากผลประกอบการที่ดีกว่าคาดการณ์และความหวังว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่งผลให้ผู้คาดการณ์หลายราย เช่น ซิตี้กรุ๊ป มองในแง่บวกต่อแนวโน้มดัชนี S&P500 ในครึ่งปีหลัง
อย่างไรก็ตาม นักกลยุทธ์บางคน เช่น ฮาร์ทเน็ตต์ เตือนว่า การปรับตัวขึ้นนี้อาจเสี่ยงกลายเป็นฟองสบู่ เนื่องจากนโยบายการเงินและกฎระเบียบทางการเงินที่อาจผ่อนคลายลง
ผลสำรวจเดือนส.ค. 2568 ยังแสดงให้เห็นว่า เงินสดคิดเป็นสัดส่วน 3.9% ของสินทรัพย์รวม ซึ่งเป็นระดับที่สอดคล้องกับสัญญาณการขายหุ้นในตลาด
นอกจากนี้ ผู้ร่วมสำรวจประมาณ 68% คาดว่า เศรษฐกิจโลกใน 12 เดือนข้างหน้าจะชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป (soft landing) ขณะที่ 22% เชื่อว่าจะไม่มีการชะลอตัว และเพียง 5% คาดว่าจะเกิดการชะลอตัวรุนแรง (hard landing)
ในส่วนของหุ้นตลาดเกิดใหม่ (EM) นั้น มีผู้ร่วมสำรวจ 49% ที่มองว่า ยังมีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริง ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. 2567
ความคาดหวังเกี่ยวกับเงินเฟ้อพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน โดย 18% ของผู้ร่วมสำรวจคาดว่า จะเห็นตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ทั่วโลกเพิ่มขึ้น
สำหรับความเสี่ยงสำคัญที่ผู้จัดการกองทุนกังวล ได้แก่ สงครามการค้าที่อาจทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก (29%), เงินเฟ้อสูงที่กดดันเฟดไม่ให้ลดดอกเบี้ย (27%), การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและผิดปกติของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (20%), ฟองสบู่หุ้นเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (14%) และค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง (6%)
สำหรับการลงทุนที่ได้รับความนิยมสูงสุดในกลุ่มผู้ร่วมสำรวจ ได้แก่ การถือหุ้นในกลุ่ม Magnificent Seven (45%), การขายชอร์ตดอลลาร์ (23%) และการถือครองทองคำ (12%)
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (11 ส.ค. 68)