
สถานการณ์น่าเป็นห่วงสำหรับผู้ป่วยสิทธิบัตรทองกว่า 9,000 รายในกรุงเทพฯ เมื่อศศิรักษ์สหคลินิกซึ่งเป็นคลินิกในโครงการบัตรทอง “คลินิกอบอุ่น” ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้ประกาศปิดให้บริการอย่างกะทันหัน ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อผู้ป่วยกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเรื้อรังและผู้สูงอายุที่ต้องถูกลอยแพอย่างไร้ที่พึ่ง สภาผู้บริโภคชี้กรณีดังกล่าวซ้ำเติมความเดือดร้อนประชาชน เพราะต้องแบกรับภาระหลายด้าน โดยแนะให้ผู้ป่วยใช้สิทธิร้องเรียนต่อ สปสช.หากต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่าย-เดินทาง
เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตที่เกิดขึ้น ศูนย์คุ้มครองสิทธิบัตรทองและกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบได้เข้าพบนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม.เพื่อขอให้โรงพยาบาลราชพิพัฒน์ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลแม่ข่ายเดิมรับดูแลผู้ป่วยทั้ง 9,000 คนเป็นการชั่วคราว ซึ่งทางโรงพยาบาลราชพิพัฒน์ได้แสดงท่าทีพร้อมให้ความช่วยเหลือ แต่ขอการสนับสนุนด้านนโยบายและบุคลากรจาก กทม. เพื่อรองรับภาระงานที่เพิ่มขึ้น แม้จะยังไม่มีคำสั่งพิเศษใด ๆ ออกมา แต่ทางตัวแทนผู้ว่าฯ ได้รับเรื่องร้องเรียนแล้ว ซึ่งกลุ่มผู้เสียหายจะติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิดและเตรียมเข้าพบผู้ว่าฯ อีกครั้งเพื่อหารือถึงปัญหาระยะยาว
นายอภิวัฒน์ กวางแก้ว อนุกรรมการหลักประกันสุขภาพเขต 13 กทม. กล่าวว่า ก่อนปิดให้บริการมีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับคลินิกแห่งนี้ ทำให้ สปสช. ต้องเข้าตรวจสอบมาตรฐานและความโปร่งใส ซึ่งกระบวนการยังไม่สิ้นสุด แต่คลินิกกลับตัดสินใจแจ้งปิดบริการและหยุดทำการทันทีเมื่อวันที่ 8 ส.ค.68 การกระทำดังกล่าวถือเป็นการลอยแพคนไข้โดยสิ้นเชิง ขาดซึ่งธรรมาภิบาลและความรับผิดชอบในฐานะวิชาชีพ
แม้คลินิกมีสิทธิที่จะยุติสัญญาด้วยเหตุผลทางการเงิน แต่การดำเนินการต้องเป็นไปตามกฎหมายและข้อสัญญา การกระทำนอกเหนือกฎหมายเช่นนี้ย่อมสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เหตุการณ์นี้จึงเป็นบทเรียนสำคัญที่กระตุ้นให้ กทม.ต้องหันมาพึ่งพาระบบสาธารณสุขของตัวเองมากขึ้น เช่น การยกระดับโรงพยาบาลชุมชนและศูนย์สาธารณสุข โดยการเพิ่มบุคลากรและขยายการให้บริการ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดในระยะยาว
นายโสภณ หนูรัตน์ หัวหน้าฝ่ายคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค สภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวว่า โดยปกติแล้วคลินิกคู่สัญญากับ สปสช. จะต้องแจ้งความประสงค์ในการปิดหรือย้ายสถานบริการล่วงหน้า เพื่อให้ สปสช. สามารถจัดหาและโยกย้ายผู้ป่วยไปยังหน่วยบริการแห่งใหม่ที่เหมาะสมได้ ซึ่งในกรณีของศศิรักษ์สหคลินิกยังไม่มีการดำเนินการตามขั้นตอนที่ว่ามา ซึ่งจากการปิดให้บริการโดยไม่เป็นไปตามขั้นตอนกฎหมาย สร้างผลกระทบโดยตรงต่อผู้ใช้บริการสิทธิบัตรทองหลายประการ ได้แก่
– ภาระค่าใช้จ่ายที่ตกกับผู้ป่วย โดยผู้ป่วยที่มีความจำเป็นเร่งด่วนต้องซื้อยาหรือเข้ารับการรักษาด้วยเงินตัวเอง เนื่องจากไม่สามารถใช้สิทธิบัตรทองได้อีก
– ภาระการเดินทาง ผู้ป่วยบางรายต้องเดินทางไกลขึ้นเพื่อไปใช้บริการที่หน่วยอื่น ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ซึ่งอาจไม่คุ้มค่ากับการเดินทางไปรับยาในแต่ละครั้ง
– ต้องเริ่มต้นการรักษาใหม่ ผู้ป่วยต้องเผชิญกับความไม่ต่อเนื่องในการรักษา และขาดความเชื่อมั่นเมื่อต้องเปลี่ยนไปพบแพทย์คนใหม่ ซึ่งอาจทำให้แนวทางการรักษาและให้ยาเปลี่ยนแปลงไป
นายโสภณ กล่าวว่า อีกหนึ่งปัญหาที่ผู้ป่วยบัตรทองต้องเผชิญบ่อยครั้งคือ การที่คลินิกไม่ยอมออกใบส่งต่อผู้ป่วย ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากระบบการจ่ายเงินของ สปสช. ที่ทำให้คลินิกพยายามลดต้นทุนด้วยการรักษาผู้ป่วยเอง แทนที่จะส่งต่อให้แพทย์เฉพาะทาง ส่งผลให้ผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม เช่น ผู้ป่วยโรคหัวใจที่ควรถูกส่งตัวไปโรงพยาบาล แต่แพทย์ในคลินิกกลับพยายามรักษาเอง ทำให้ผู้ป่วยต้องประสบความลำบากในการเข้าถึงการรักษาที่ถูกต้อง
นอกจากนี้ผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบมีสิทธิ์ที่จะร้องเรียนไปยัง สปสช. เพื่อขอรับการเยียวยาความเสียหายและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น หรือหาก สปสช. จัดสรรหน่วยบริการที่ไม่สะดวกในการเดินทาง ผู้ป่วยก็มีสิทธิ์ที่จะขอเปลี่ยนแปลงหน่วยบริการที่เหมาะสมกว่าได้ สภาผู้บริโภคเรียกร้องให้ สปสช. และ กทม. ประสานงานกันอย่างเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า และหาทางกระจายผู้ป่วยไปยังหน่วยบริการอื่น ๆ อย่างไรก็ดี ต้องพิจารณาถึงขีดจำกัดในการรับผู้ป่วยของแต่ละแห่งด้วย
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (12 ส.ค. 68)