
แกนนำกลุ่มรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย เรียกร้องให้ประชาชนออกมาร่วมชุมนุมแสดงพลังปกป้องประชาธิปไตยที่บริเวณหน้ารัฐสภา ในวันที่ 21 ส.ค.68 เวลา 10.00 น. ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรจะมีการหารือเกี่ยวกับ MOU 43-44 และข้อตกลงที่เกี่ยวข้องที่รัฐบาลทุกชุดไม่เคยนำเข้าพิจารณาในเสภาฯ มาก่อน โดยกลุ่มรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตยได้ประเมินสถานการณ์ทางการเมืองแล้วเห็นว่าการยกเลิก MOU 43-44 จะเป็นประโยชน์มากกว่า และไม่ทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะสูญเสียอธิปไตยจากกรณีที่ใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000
“ครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ประชาชนต้องมีส่วนร่วมในการแสดงพลังเรื่องเขตแดน โดยไม่ปล่อยคณะรัฐมนตรีไปกำหนดเขตแดนเองจนส่งผลให้เกิดการสู้รบในปัจจุบันนี้ สถานการณ์สู้รบที่เกิดขึ้นไม่มีการสนับสนุนจากรัฐบาล ไม่มีการทำหน้าที่ของรัฐสภา เราผ่านเหตุการณ์มาโดยไม่มีฝ่ายบริหาร ไม่มีฝ่ายนิติบัญญัติ ขณะนี้ถึงเวลาที่ประชาชนต้องพิจารณาว่าจะยอมให้มีรัฐบาลอย่างนี้ต่อไปหรือไม่ จะยอมให้มีฝ่ายนิติบัญญัติอย่างนี้ต่อไปหรือไม่” นายนิติธร ล้ำเหลือ หนึ่งในแกนนำ กล่าว
นายสมชาย แสวงการ อดีต สว. กล่าวว่า กัมพูชาต้องการใช้แผนที่ 1:200,000 เพราะถ้าขยับเข้ามา 1 ซม.เท่ากับกินพื้นที่ 2 กิโลเมตร ถ้าขยับ 10 เซนติเมตร เท่ากับ 20 กิโลเมตร เผลอ ๆ จังหวัดตราดหายไปทั้งหมด ไม่ต้องพูดถึงแหล่งพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล นี่คืออันตรายของบ้านเมือง รัฐบาลต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญมาตรา 178 ว่าจะให้สัตยาบัน MOU 43-44 หรือไม่ เรื่องนี้ต้องยกเลิกแล้วกลับไปใช้แนวทางการเจรจาทวิภาคีใหม่ โดยไม่มีเงื่อนไขผูกมัด
นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า รัฐสภาไม่ได้ดำเนินการเรื่อง MOU 43-44 ให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่กระบวนการต้องรอบคอบ ไม่ให้เกิดกรณีการเตะหมูเข้าปากหมา ปล่อยให้เกิดการฉวยโอกาสที่จะเอาเสียงข้างมากของรัฐสภามาค้ำจุนอำนาจของตัวเอง ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อประเทศชาติ ประชาชนต้องออกมาช่วยกันผลักดันให้การแก้ไขปัญหาเรื่องนี้จบลง
นายจตุพร พรหมพันธุ์ กล่าวว่า หลังจากการนัดชุมครั้งที่ 2 เมื่อต้นเดือนส.ค.68 แล้ว เราคาดว่าการชุมนุมใหญ่ครั้งต่อไปที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิจะมีการเคลื่อนขบวนไปทำเนียบรัฐบาล ครั้งนี้ถือเป็นการชุมนุมนัดพิเศษ เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้คะแนนนิยมในรัฐบาลมีความตกต่ำ นักการเมืองไม่ได้แสดงออกถึงความรักชาติ หากรัฐสภาดำเนินการเรื่องนี้ไปแล้วคงไม่เกิดเรื่องคลิปเสียงตามมา
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (18 ส.ค. 68)