
รัฐบาลอินโดนีเซียได้โอนเงินจำนวน 200 ล้านล้านรูเปียห์ (ประมาณ 1.223 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) จากบัญชีเงินออมของธนาคารกลางไปยังธนาคารของรัฐ 5 แห่ง โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมสภาพคล่องของธนาคาร กระตุ้นการปล่อยสินเชื่อให้ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง และท้ายที่สุดก็เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ
ปูร์บายา ยูดีห์ ซาเดวา รัฐมนตรีคลังอินโดนีเซียประกาศว่า เงินจำนวน 200 ล้านล้านรูเปียห์จะถูกจัดสรรให้กับแบงก์ แมนดิรี (Bank Mandiri), บีอาร์ไอ (BRI), และบีเอ็นไอ (BNI) โดยแต่ละธนาคารจะได้รับเงิน 55 ล้านล้านรูเปียห์ ส่วนธนาคารบีทีเอ็น (BTN) จะได้รับ 25 ล้านล้านรูเปียห์ และบีเอสไอ (BSI) จะได้รับ 10 ล้านล้านรูเปียห์
ซาเดวากล่าวว่า การอัดฉีดสภาพคล่องครั้งนี้คาดว่าจะช่วยเพิ่มกระแสเงินสดที่มีอยู่ในธนาคาร ทำให้ธนาคารเหล่านี้สามารถจัดหาเงินให้ประชาชนได้มากขึ้นผ่านการกู้ยืมและสินเชื่อ ซึ่งจะทำให้ภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น และท้ายที่สุดจะเป็นปัจจัยที่ช่วยเร่งกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า การดำเนินการดังกล่าวของอินโดนีเซียมีขึ้นในช่วงเวลาการปล่อยสินเชื่อเติบโตในอัตราที่ชะลอลง โดยข้อมูลของหน่วยงานบริการทางการเงินของอินโดนีเซียระบุว่า การปล่อยสินเชื่อในเดือนก.ค.ปีนี้เพิ่มขึ้นเพียง 7.03% เมื่อเทียบเป็นรายปี แตะที่ระดับ 8,043 ล้านล้านรูเปียห์ ซึ่งลดลงเดือนมิ.ย.ที่ปรับตัวขึ้น 7.77%
ธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลาง และย่อม (MSME) ซึ่งถือเป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจที่แท้จริงของอินโดนีเซียนั้น ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของการปล่อยสินเชื่อในภาคธนาคาร โดยข้อมูลจากธนาคารกลางอินโดนีเซียแสดงให้เห็นว่าสินเชื่อที่อนุมัติให้กับธุรกิจ MSME อยู่ที่ 1,397.4 ล้านล้านรูเปียห์ในเดือนก.ค. เพิ่มขึ้นเพียง 1.6% เมื่อเทียบเป็นรายปี เทียบกับการเติบโต 2% ในเดือนมิ.ย. สะท้อนให้เห็นถึงกำลังซื้อที่อ่อนแอลงของผู้บริโภค
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (16 ก.ย. 68)