
นายอารภัฏ สังขรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เมย์แบงก์ [MST] เปิดแผนงานเดินหน้ากลยุทธ์ยกระดับทีมที่ปรึกษาการลงทุน ขยายผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมบริการ สร้างประสบการณ์การลงทุนแบบครบวงจร โดยตั้งเป้าสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในทุกมิติ ทั้งธุรกิจลูกค้ารายย่อย (Retail) รวมทั้งกลุ่มสถาบัน หนุนกำไรแตะระดับ 1,000 ล้านบาทภายในปี 73
ขณะที่ทิศทางผลการดำเนินงานในปีนี้ยอมรับว่าคงชะลอตัวลงจากฐานที่สูงในปีก่อน ประกอบกับสภาวะตลาดที่ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน (Market Volume) ปรับลดลง โดยเฉพาะในไตรมาส 2/68 ฉุดผลการดำเนินงานอ่อนตัวลง แต่ก็เริ่มเห็นสัญญาณ Volume ฟื้นตัวในไตรมาส 3/68 ช่วยหนุนผลประกอบการเติบโต QoQ อย่างไรก็ตาม MST ยังมั่นใจผลประกอบการในแต่ละไตรมาส รวมทั้งภาพรวมทั้งปี 68 ยังเป็นบวก
ในปีนี้บริษัทเน้นลงทุนเพิ่มบุคลากรรวมทั้งพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัล นอกจากนั้น ช่วงที่เหลือของปีเตรียมเปิดให้บริการ “ตลาดรองตราสารหนี้ (Secondary Bond Market)” ภายในไตรมาส 4/68 เพื่อให้นักลงทุนสามารถซื้อขายตราสารหนี้ได้อย่างคล่องตัว อีกทั้งเตรียมเปิดตัวบริการ Private Fund อย่างเป็นทางการช่วงปลายปี เพื่อให้บริการลูกค้ากลุ่ม High-Net-Worth ซึ่งบริการนี้จะเป็นรากฐานสำคัญสู่การจัดตั้งบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ในอนาคต
พร้อมทั้งต่อยอดความเชี่ยวชาญด้าน Structured Products โดยมีแผนจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อีก 5-6 รูปแบบ ในปี 69 สำหรับผลิตภัณฑ์สินทรัพย์ดิจิทัล บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาโดยมุ่งเน้นการตอบโจทย์ลูกค้าเป็นหลัก นอกจากนี้ยังคาดหวังในปี 73 มีความเป็นไปได้ในการจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ในไทยด้วย โดยจะเน้นด้าน Investment เป็นหลัก
“ภูมิทัศน์การลงทุนในประเทศไทยกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นักลงทุนไม่ได้มองแค่หุ้นในประเทศเพียงอย่างเดียว แต่ต้องการกระจายพอร์ตการลงทุนไปสู่สินทรัพย์ที่หลากหลาย ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงต้องการข้อมูลที่รวดเร็วและคำแนะนำที่เชื่อถือได้เพื่อประกอบการตัดสินใจ นี่คือช่วงเวลาสำคัญที่ เมย์แบงก์ ต้องต่อยอดความเชี่ยวชาญและยกระดับกลยุทธ์ เพื่อก้าวสู่การเป็นพาร์ทเนอร์ด้านการเงินที่ตอบโจทย์ลูกค้าในทุกสภาวะตลาด โดยหนึ่งในแกนสำคัญของเรา คือการผลักดัน Democratized Investment หรือการทำให้การลงทุนเข้าถึงได้สำหรับคนไทยในวงกว้างมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนที่มีสินทรัพย์สูงหรือนักลงทุนรุ่นใหม่
เราต้องการให้ทุกคนเข้าถึงโซลูชันการลงทุนที่หลากหลายและมีมาตรฐานระดับสากล พร้อมคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญที่ไว้วางใจได้ เพื่อให้การวางแผนการเงินไม่ใช่เรื่องซับซ้อนและเป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถทำได้ กลยุทธ์หลักของเราจึงเน้นเสริมความแข็งแกร่งในธุรกิจรีเทล ด้วยการลงทุนทั้งในคน เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อยกระดับบทบาทของเมย์แบงก์จากโบรกเกอร์ที่เน้นการทำธุรกรรม ไปสู่การเป็นพาร์ทเนอร์ทางการเงินที่ช่วยสร้างความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนให้กับลูกค้า โดยเรายังคงรักษาจุดยืนการเป็น boutique financial advisory ที่เน้น high touch ให้คำปรึกษาเชิงลึกและตอบโจทย์ลูกค้าในแบบเฉพาะบุคคล”
เมย์แบงก์ มุ่งพัฒนาประสบการณ์ลงทุนในทุกมิติ ยกระดับคุณภาพคำแนะนำให้ลึกและรอบด้าน เพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์การลงทุนทั้งที่เน้นการเติบโตและการป้องกันความเสี่ยง และพัฒนาเครื่องมือ ดิจิทัลให้ตอบโจทย์พฤติกรรมการลงทุนที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกได้ทุกที่ทุกเวลาและ ตัดสินใจลงทุนได้อย่างมั่นใจ ด้านบุคลากร เมย์แบงก์ เดินหน้าสร้างและเสริมความแข็งแกร่งให้ทีมที่ปรึกษาการลงทุน ด้วยการดึงดูดผู้เชี่ยวชาญระดับแถวหน้าและพัฒนาศักยภาพทีมงานอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าขยายทีมที่ปรึกษาการลงทุน (Investment Consultants) ให้ครบกว่า 500 คน เพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้นและส่งมอบบริการให้ครอบคลุมทั้งกลุ่มไฮเน็ตเวิร์กและนักลงทุนรุ่นใหม่ ลูกค้าจะได้รับข้อมูลเชิงลึกที่ครอบคลุมทั้งโอกาสการลงทุนและการบริหารความเสี่ยง
นอกจากนั้น เมย์แบงก์ ยังเดินหน้าขยายผลิตภัณฑ์และโซลูชันการลงทุนให้ครอบคลุมความต้องการของ นักลงทุนมากยิ่งขึ้น ทั้งกองทุนรวม หุ้นต่างประเทศ ตราสารอนุพันธ์ และผลิตภัณฑ์ทางเลือเพื่อกระจายความเสี่ยง ควบคู่กับการเพิ่มฟังก์ชันวิเคราะห์และเครื่องมือช่วยตัดสินใจในแพลตฟอร์มดิจิทัล เช่น MBI ให้มีความแม่นยำและใช้งานง่ายขึ้น เพื่อยกระดับการให้บริการอย่างเต็มรูปแบบ
นางสาวเนธิตา กระบวนรัตน์ กรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายบริหารการลงทุน MST กล่าวว่า ทีมที่ปรึกษาการลงทุน คือ กลไกสำคัญในการส่งมอบประสบการณ์ลงทุนที่แตกต่าง MST จึงให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการสร้างทีมที่แข็งแกร่ง ทั้งการดึงดูดผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์เชิงลึกและพัฒนาทักษะของทีมงานให้สามารถให้คำแนะนำได้อย่างครบถ้วนและรอบด้าน เราต้องการให้ลูกค้ารู้สึกมั่นใจว่ามีที่ปรึกษาที่เข้าใจเป้าหมายทางการเงินของพวกเขาและสามารถช่วยตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
พร้อมกันนี้ เรากำลังยกระดับแพลตฟอร์มดิจิทัลของเราอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ลูกค้าได้รับข้อมูลแบบเรียลไทม์และใช้เครื่องมือช่วยวิเคราะห์ที่ทันสมัยในการวางแผนการลงทุน เมื่อผสานความสะดวกสบายของดิจิทัลเข้ากับความเชี่ยวชาญของทีมที่ปรึกษา จะทำให้ เมย์แบงก์สามารถมอบประสบการณ์ที่ครอบคลุมทั้งความรวดเร็วความแม่นยำ และความเป็นส่วนตัว โดยเป้าหมายของเราคือการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า และยกระดับบทบาทของ เมย์แบงก็ให้เป็นพาร์ทเนอร์อันดับแรกที่นักลงทุนไว้วางใจเมื่อต้องการวางแผนการเงิน ทั้งในวันนี้และในอนาคต”
สำหรับมุมมองการลงทุน MST มองเป้า SET Index ณ สิ้นปี 68 ที่ระดับ 1,290 จุด ภายใต้คาดการณ์ GDP ไทยปี 68 ขยายตัวระดับ 1-2% และคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ลดอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้ ส่วนปี 69 ให้เป้า 1,370 จุด อิงคาดการณ์การเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) ที่ 6% และ P/E ที่ 14.5 เท่า
“ภาพรวมตลาดหุ้นไทยอัพไซด์จำกัดจากการเติบโตของ GDP และขาดเสน่ห์ดึงดูดเมื่อเทียบกับตลาดอื่นในภูมิภาค ประกอบกับสถานการณ์การเมืองที่ยังขาดความนิ่ง ทำให้นักลงทุนต่างชาติยังคงมีแนวโน้มขายสุทธิต่อเนื่อง” MST ระบุ
ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงเป็นตลาดที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่มีการเติบโตสูง แม้จะมีความผันผวน แต่จากสถิติในอดีต ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มักจะใช้เวลาปรับฐานประมาณ 7-8 เดือน ก่อนจะกลับมาฟื้นตัวได้
ตลาดหุ้นเวียดนาม มีศักยภาพการเติบโตสูงมาก โดยรัฐบาลตั้งเป้าการเติบโตของ GDP ที่ 10% ต่อปีในอีก 10 ปีข้างหน้า ซึ่งเปรียบเสมือนประเทศไทยเมื่อ 30-40 ปีก่อน การที่ตลาดหุ้นเวียดนามได้เข้าสู่ดัชนี MSCI ยังเป็นปัจจัยบวกที่ดึงดูดเม็ดเงินจากต่างชาติ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรติดตามเรื่องกฎระเบียบและความโปร่งใสของตลาดอย่างใกล้ชิดเนื่องจากยังเป็นตลาดที่กำลังพัฒนา
สำหรับตลาดหุ้นจีน แม้เศรษฐกิจจะชะลอตัว แต่ยังคงเป็นตลาดใหญ่ในภูมิภาคที่น่าจับตา โดยรัฐบาลกำลังพยายามปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจจากอุตสาหกรรมพื้นฐานไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ เช่น พลังงานทางเลือกและ AI โดยคาดการณ์ GDP ปีนี้จะเติบโตที่ 5-6% ขณะที่ทองคำ มองว่าราคาทองคำยังคงมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น แต่ Upside อาจไม่มากนัก
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (23 ก.ย. 68)