ดาวโจนส์ปิดร่วง 301.07 จุด กังวลวิกฤตธนาคารภูมิภาคในสหรัฐฯ

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 300 จุดในวันพฤหัสบดี (16 ต.ค.) โดยตลาดถูกกดดันจากสัญญาณที่บ่งชี้ถึงความอ่อนแอของธนาคารระดับภูมิภาคในสหรัฐฯ รวมทั้งความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดด้านการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ

  • ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 45,952.24 จุด ลดลง 301.07 จุด หรือ -0.65%
  • ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,629.07 จุด ลดลง 41.99 จุด หรือ -0.63% และ
  • ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 22,562.54 จุด ลดลง 107.54 จุด หรือ -0.47%

หุ้น 10 ใน 11 กลุ่มในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยหุ้นกลุ่มการเงินดิ่งลง 2.75% ตามด้วยหุ้นกลุ่มพลังงงานร่วงลง 1.12% ส่วนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดีดตัวขึ้น 0.13%

หุ้น Zions Bancorporation ซึ่งเป็นธนาคารระดับภูมิภาคของสหรัฐฯ ร่วงลง 13% หลังจากธนาคารเปิดเผยตัวเลขขาดทุนจากสินเชื่อสองรายการในสาขาแคลิฟอร์เนีย ซึ่งทำให้นักลงทุนกังวลเกี่ยวกับปัญหาด้านสินเชื่อที่แฝงอยู่ในระบบการเงิน ในขณะที่ธนาคารผู้ปล่อยกู้ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ท่ามกลางอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับค่อนข้างสูง

ขณะที่หุ้น Western Alliance ซึ่งเป็นธนาคารระดับภูมิภาคอีกรายหนึ่ง ร่วงลง 10.8% หลังจากธนาคารได้ยื่นฟ้องคดีฉ้อโกงต่อผู้กู้รายหนึ่ง โดยความวิตกกังวลเกี่ยวกับการปล่อยกู้ของธนาคารระดับภูมิภาคเหล่านี้ เกิดขึ้นนับตั้งแต่ First Brands ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ และ Tricolor ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ ประสบกับการล้มละลายในเดือนก.ย.ปีนี้

ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2566 ตลาดหุ้นนิวยอร์กเคยร่วงลงอย่างหนักจากข่าวล้มละลายของธนาคารระดับภูมิภาคอย่างซิลิคอน วัลเลย์ แบงก์ (Silicon Valley Bank – SVB) และซิกเนเจอร์ แบงก์ (Signature Bank – SB) อันเนื่องมาจากการที่ลูกค้าซึ่งส่วนใหญ่เป็นสตาร์ตอัปในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีได้แห่ถอนเงินออกจากธนาคาร ท่ามกลางความไม่เชื่อมั่นด้านสภาพคล่องของธนาคารเหล่านี้

ตลาดยังถูกกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้นอีก 100% ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.นี้ เพื่อตอบโต้จีนที่ออกมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายาก

นักลงทุนจับตาการปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ หรือชัตดาวน์ ซึ่งได้ย่างเข้าสู่วันที่ 16 ท่ามกลางความหวังริบหรี่ที่จะเห็นวุฒิสภาสหรัฐอนุมัติร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราว เนื่องจากยังไม่มีความคืบหน้าในการเจรจาระหว่างพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน

หุ้นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ร่วงลง โดยหุ้น Palantir และหุ้น Meta Platforms ต่างก็ปรับตัวลง 0.8% ขณะที่หุ้น Tesla ร่วงลง 1.5%

หุ้นบริษัทประกันในดัชนี S&P500 ปรับตัวลง หลังจากบริษัท Travelers Companies เปิดเผยรายได้รายไตรมาสที่ต่ำกว่าคาด และฉุดหุ้นของบริษัทดิ่งลงเกือบ 3%

ขณะที่หุ้น Hewlett Packard Enterprise ร่วงลง 10% หลังจากบริษัทเปิดเผยตัวเลขคาดการณ์กำไรและรายได้ในปีงบการเงิน 2568 ที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ในวอลล์สตรีท

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการรายงานเมื่อคืนนี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) สาขาฟิลาเดลเฟีย เปิดเผยดัชนีภาคการผลิตในภูมิภาคมิด-แอตแลนติก ดิ่งลง 36 จุด สู่ระดับ -12.8 ในเดือนต.ค. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ +9.5 โดยดัชนีที่มีค่าเป็นลบบ่งชี้ถึงภาวะหดตัวของภาคการผลิตในภูมิภาคมิด-แอตแลนติก อันเนื่องมาจากผลกระทบของการจ้างงานที่ชะลอตัวลง

สมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB) ของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้สร้างบ้านปรับตัวขึ้น 5 จุด สู่ระดับ 37 ในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 33 โดยได้แรงหนุนจากการปรับตัวลงของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 ต.ค. 68)