BAY เผยกำไร 9 เดือนโต 5.1% TIDLOR หนุนสินเชื่อขยับขึ้น 2.7% NIM ย่อมาที่ 4.28%

นายเคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา [BAY] กล่าวว่า ผลประกอบการ 9 เดือนของปี 68 มีกำไรสุทธิ 24,612 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.1% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 67 ปัจจัยหลักมาจากการลดลงของผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น กำไรพิเศษที่เกิดจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนใน บมจ.ติดล้อ โฮลดิ้งส์ (TIDLOR) ซึ่งบางส่วนสุทธิด้วยการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ สอดคล้องกับการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายและการชะลอตัวของเงินให้สินเชื่อ

ภายใต้สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่มีความท้าทาย ส่งผลให้ความต้องการเงินให้สินเชื่อลดลง แต่ BAY ยังคงเดินหน้าตามยุทธศาสตร์ระยะกลางและระยะยาวเพื่อสนับสนุนการเข้าถึงบริการทางการเงิน และสร้างโอกาสการเติบโตในตลาดลูกค้ารายย่อยและผู้ประกอบการ SME โดยการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน TIDLOR เพิ่มขึ้นจาก 30.18% เป็น 46.51% ในไตรมาส 3/68

สำหรับกำไรสุทธิในช่วง 9 เดือนแรกของปี 68 จำนวน 24,612 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.1% หรือ 1,188 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 67 ปัจจัยหลักมาจากการลดลงของผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น และกำไรพิเศษที่เกิดจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนใน TIDLOR ซึ่งบางส่วนสุทธิด้วยการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ สอดคล้องกับการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายและการลดลงของความต้องการเงินให้สินเชื่อตั้งแต่ต้นปี รวมถึงการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงาน

เงินให้สินเชื่อรวม เพิ่มขึ้น 2.7% หรือจำนวน 51,384 ล้านบาท จากสิ้นเดือนธ.ค. 67 โดยได้รับแรงขับเคลื่อนจากสินเชื่อเพื่อรายย่อยที่ได้รับจากการรวมงบการเงิน (Consolidation) ของ TIDLOR รวมทั้งการเติบโตของเงินให้สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ ขณะที่สินเชื่อขนาดกลางและขนาดย่อมปรับตัวลดลง

เงินรับฝาก ลดลง 5.7% หรือจำนวน 104,602 ล้านบาท จากสิ้นเดือนธ.ค. 67 โดยมีปัจจัยหลัก มาจากการลดลงของเงินรับฝากประจำ สะท้อนถึงการบริหารจัดการต้นทุนทางการเงินเชิงรุก ท่ามกลางสภาวะที่เงินให้สินเชื่อเติบโตต่ำ

ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) อยู่ที่ 4.28% เทียบกับ 4.33% ในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 67 สอดคล้องกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย

รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย เพิ่มขึ้น 15.8% หรือ 5,294 ล้านบาท จากช่วง 9 เดือนแรกของปี 67 โดยมีปัจจัยหลักมาจากกำไรพิเศษจากธุรกรรมการรวมงบการเงินของ TIDLOR กำไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่ วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุน และหนี้สูญรับคืน และอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ อยู่ที่ 46.4%

อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Ratio) อยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ที่ 3.49% ขณะที่สัดส่วนการตั้งสำรองต่อสินเชื่อรวมปรับตัวดีขึ้นอยู่ที่ 215 เบสิสพอยท์ จาก 245 เบสิสพอยท์ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 67 และอัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ที่ 123.1% และอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (ของธนาคาร) อยู่ที่ 20.23% เทียบกับ 19.38% ณ สิ้นเดือนธ.ค. 67

“กรุงศรียังคงมุ่งมั่นดำเนินการตามกลยุทธ์ที่สำคัญสำหรับปีนี้ โดยมุ่งเน้นการบริหารจัดการต้นทุนทางการเงินอย่างรัดกุมต่อเนื่อง เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และการบริหารความเสี่ยงที่รอบคอบระมัดระวัง นอกจากนี้ธนาคารยังเดินหน้าตามยุทธศาสตร์ระยะกลางและระยะยาวในการเพิ่มการเข้าถึงบริการทางการเงิน รวมถึงการสร้างโอกาสการเติบโตในกลุ่มลูกค้ารายย่อยและ SME สะท้อนได้จากการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้น ใน บมจ.ติดล้อ โฮลดิ้งส์ ซึ่งเป็นการต่อยอดความแข็งแกร่งของธนาคารในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่” นายเคนอิจิ กล่าว

ด้านแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 68 เผชิญแรงกดดันที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะจากผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมของนโยบายทางการค้าของสหรัฐฯ รวมถึงการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่ยังคงเปราะบาง และอุปสงค์ในประเทศที่อ่อนแรง อย่างไรก็ตามคาดว่าปัจจัยที่จะช่วยประคองการขยายตัวของเศรษฐกิจในไตรมาสที่สี่ มาจากเสถียรภาพทางการเมืองที่ปรับตัวดีขึ้น กอปรกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่มุ่งสนับสนุนการบริโภคและการท่องเที่ยวภายในประเทศ และกรุงศรียังคงประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจปี 68 ที่ 2.1%”

ณ วันที่ 30 ก.ย. 68 กรุงศรีซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจการเงินที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับห้าในระบบเศรษฐกิจไทยจากมูลค่าสินทรัพย์ สินเชื่อและเงินรับฝาก และเป็นหนึ่งในสถาบันการเงินที่มีความสำคัญเชิงระบบ (D-SIB) มีสินเชื่อรวม 1.95 ล้านล้านบาท เงินรับฝาก 1.72 ล้านล้านบาท และสินทรัพย์รวม 2.59 ล้านล้านบาท ขณะที่เงินกองทุนของธนาคารอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 336.98 พันล้านบาท หรือเทียบเท่า 20.23% ของสินทรัพย์เสี่ยง โดยเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของคิดเป็น 16.02%

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 ต.ค. 68)