นายไชยชนก ชิดชอบ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวภายหลังประชุมคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยีว่า จะยกระดับการทำงานในวอร์รูมที่เจ้าหน้าที่ตำรวจมีอยู่แล้ว ให้มีการทำงานในเชิงรุกมากขึ้น โดยเพิ่มตัวแทนจากภาคเอกชนทั้งจากผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือและธนาคารพาณิชย์ เพื่อร่วมทำงานในการอัปเดตของมูลให้มีความรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยจะเป็นประโยชน์ในการวิเคราะห์พฤติกรรมและสถานการณ์ได้ดียิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ได้ขอความร่วมมือสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในการรวบรวมบัญชีม้าแถว 1 และ 2 รวมถึงข้อมูลการถือครองซิมเพื่อให้สามารถการวิเคราะห์และออกมาตรการที่เป็นยาแรงเพิ่มขึ้น
“กรรมการฯ จะให้มีการประชุมทุกสัปดาห์เพื่อให้ทันกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยหากมีสถานการณ์พิเศษจะมีการประชุมเพิ่มเติม ในส่วนของกสทช. ได้หารือเพื่อขอความร่วมมือในการออกมาตรการจำกัดการถือครองซิมโทรศัพท์มือถือ แม้ปัจจุบันจะมีการจำกัดปริมาณการถือครองซิมแล้ว แต่ยังมีข้อกังวลโดยเห็นว่า หากมีการกำหนดให้ถือครองซิมได้คนละไม่เกิน 5 หมายเลข หรือถือครองได้โอเปอเรเตอร์ละ 2 หมายเลข น่าจะเพียงพอต่อการใช้งาน หากลดปริมาณซิมได้อาจจะลดการเข้าถึงอุปกรณ์ในการทำปฏิบัติการ อย่างไรก็ดี อยู่ระหว่างการพิจารณาที่ต้องไม่ให้กระทบกับสิทธิเสรีภาพในการสื่อสาร” นายไชยชนก กล่าว
นอกจากนี้ จะมีการยกร่างพ.ร.ก.ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ใหม่ โดยเพิ่มการปฏิบัติการเชิงรุกซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะรวบพ.ร.ก.ที่เคยออกมาแล้วก่อนหน้าเป็นพ.ร.ก.ใหม่ ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกัน ปราบปราม และตอบโต้อาชญากรรม เพื่อให้มีเครื่องมือในการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ในเชิงรุก
โดยให้เจ้าหน้าที่มีกฎหมายป้องกันในความเสี่ยงของการปฏิบัติหน้าที่ในต่างประเทศ โดยรวบรวมข้อเสนอเพิ่มเติมในการทำให้ร่าง พ.ร.ก.ฯ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยตนเน้นย้ำให้ดำเนินการโดยเร็วที่สุด เมื่อร่างฯ ผ่านการพิจารณาของกรรมการแล้วจะเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยเร็วที่สุด
“ส่วนการตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ตบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา กสทช. ได้แจ้งว่าได้ดำเนินการไปแล้ว ซึ่งจะมีการนำเสนอข้อมูลการปฏิบัติในการประชุมสัปดาห์หน้า โดยหลักการแล้ว จะมีความเข้มงวดในการปล่อยสัญญาณและจำกัดการใช้งานในพื้นที่ที่มีความละเอียดอ่อน” นายไชยชนก กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 ต.ค. 68)
