นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.นอร์ทอีส รับเบอร์ [NER] เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปี 68 มีปริมาณขาย 351,412 ตัน เพิ่มขึ้น 48,336 ตัน หรือเพิ่มขึ้น 15.95% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) คิดเป็นรายได้จากการขายรวม 23,009.86 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,495.43 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 24.28%YoY แบ่งเป็นรายได้จากการขายในประเทศ 17,194.56 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 74.73% ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้น 3,253.57 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 23.34%YoY และรายได้จากการขายต่างประเทศ 5,815.29 ล้านบาท หรือคิดเป็น 25.27% เพิ่มขึ้น 1,241.86 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 27.15% YoY
ขณะที่บริษัทมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน เท่ากับ 62.33 ล้านบาทหรือคิดเป็น 0.27% ของยอดขายรวม เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้น 21.81 ล้านบาท และมีรายการกำไรจากการวัดมูลค่าตราสารอนุพันธ์เท่ากับ 37.29 ล้านบาทหรือคิดเป็น 0.16% ของยอดขายรวม ลดลง 25.98 ล้านบาท ซึ่งเป็นการบันทึกรับรู้ประมาณการผลขาดทุนทางบัญชีจากสัญญาขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าที่บริษัทได้ทำไว้เพื่อการลดผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน
งวด 9 เดือนของปี 68 บริษัทมีกำไรสุทธิ 1,489.42 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 6.47% ของรายได้จากการขายรวม โดยเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 196.27 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 15.18% ด้านสินทรัพย์รวมของบริษัทฯ ณ วันที่ 30 ก.ย.68 มีจำนวน 20,040.23 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 582.44 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 2.99% จาก ณ วันที่ 31 ธ.ค.67
ส่วนไตรมาส 3/68 มีปริมาณขาย 112,439 ตัน เพิ่มขึ้น 14,433 ตัน หรือเพิ่มขึ้น 14.73% คิดเป็นรายได้จากการขายรวม 6,727.27 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 563.92 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 9.15% แบ่งเป็นรายได้จากการขายในประเทศ 5,029.30 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 74.76% ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้น 15.44% และรายได้จากการขายต่างประเทศ 1,697.97 ล้านบาท หรือคิดเป็น 25.24% ลดลง 6.01%
กำไรสุทธิสำหรับงวดไตรมาส 3/68 เท่ากับ 326.58 ล้านบาท หรือคิดเป็น 4.85% ของรายได้จากการขายรวม เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยลดลง 34.20 ล้านบาท หรือลดลง 9.48% ซึ่งกำไรที่ลดลงเกิดจากราคาขายที่ลดลงตามสถานการณ์ราคายางในตลาดโลก อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงมั่นใจว่าในปีนี้จะสามารถดำเนินงานได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
ล่าสุด NER ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เพื่อบริหารจัดการผลผลิตยางพาราอย่างมีประสิทธิภาพ ร่วมกันสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและรายได้ที่มั่นคงให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง โดยมีเป้าหมายรวบรวมผลผลิตยางพารา 200,000 ตันต่อปี ภายใต้สัญญาความร่วมมือระยะเวลา 5 ปี ซึ่งจะช่วยสร้างเสถียรภาพให้กับตลาด และยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทย พร้อมต่อยอดสู่การขยายกำลังการผลิตของโรงงานแห่งที่3 เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจในอนาคตได้อย่างมั่นคงอีกด้วย
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (04 พ.ย. 68)
