
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย มีกำหนดการเยือนสาธารณรัฐสิงคโปร์อย่างเป็นทางการ ในวันที่ 7 พ.ย.นี้ ตามคำเชิญของนายลอว์เรนซ์ หว่อง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ เพื่อกระชับความสัมพันธ์และผลักดันความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ ระหว่างสองประเทศ รวมทั้งเข้าร่วมงาน SET Government Roadshow 2025
การเยือนครั้งนี้ ถือเป็นการเยือนต่างประเทศครั้งที่ 4 ของนายกรัฐมนตรี โดยมีความสำคัญเป็นพิเศษในโอกาสครบรอบ 60 ปี ของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-สิงคโปร์ และเป็นการตอบแทนการเยือนไทยของนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ เมื่อเดือนพ.ย.67 ที่ผ่านมา
สำหรับกำหนดการสำคัญ มีดังนี้
วันที่ 7 พ.ย.
– ช่วงเช้า นายกรัฐมนตรี เดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติชางงี สาธารณรัฐสิงคโปร์ เพื่อเข้าร่วมพิธีต้อนรับอย่างเป็นทางการ ซึ่งประกอบด้วย พิธี VIP Orchid Naming Ceremony ณ Singapore Botanic Gardens
– ร่วมพิธีต้อนรับอย่างเป็นทางการ ณ กระทรวงการต่างประเทศสิงคโปร์
– การหารือทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ พิธีแลกเปลี่ยนความตกลง โดยมีนายกรัฐมนตรีไทยและสิงคโปร์ร่วมเป็นสักขีพยาน และการแถลงข่าวร่วม
– ช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรีจะเข้าเยี่ยมคารวะประธานาธิบดีสิงคโปร์
– เข้าร่วมงาน SET Government Roadshow 2025 เพื่อกล่าวปาฐกถาพิเศษและพบปะนักลงทุนชั้นนำ
– พบปะชุมชนไทย แรงงานไทย และนักศึกษาไทยในสิงคโปร์ ก่อนเดินทางกลับประเทศไทยในช่วงค่ำวันเดียวกัน
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า การเยือนครั้งนี้ มุ่งรักษาพลวัตความร่วมมือเชิงบวกระหว่างไทย-สิงคโปร์ อย่างต่อเนื่อง โดยนายกรัฐมนตรีจะต่อยอดจากการหารือทวิภาคีในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน เมื่อเดือนต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะมีการหารือในหลายประเด็นสำคัญ อาทิ การส่งเสริมความมั่นคงทางอาหารและพลังงาน การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียว ความร่วมมือด้านสาธารณสุขและการดูแลผู้สูงอายุ การต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะ online scams
นอกจากนี้ ยังคาดว่า จะมีการลงนามเอกสารความร่วมมือ 2 ฉบับ เพื่อขยายความร่วมมือในด้านเศรษฐกิจและสาธารณสุข ได้แก่1. บันทึกความร่วมมือด้านการค้าข้าว ระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลสิงคโปร์ (MOC on Rice Trade) เพื่อสนับสนุนความมั่นคงทางอาหาร และ 2. บันทึกความเข้าใจระหว่างกรมการแพทย์และ Singapore Health Services (MOU on Healthcare Leadership in Urban Ageing Care) เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และยกระดับการดูแลผู้สูงอายุอย่างมีประสิทธิภาพ
“ทั้งหมดนี้ จะช่วยส่งเสริมความร่วมมือระหว่างสองประเทศ ให้ก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรมทั้งในมิติของเศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตของประชาชน” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (06 พ.ย. 68)





