ดาวโจนส์ปิดร่วง 398.70 จุด กังวลฟองสบู่ AI แตก-ศก.ไม่แน่นอน

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงในวันพฤหัสบดี (6 พ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนกลับมาเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นในธุรกิจปัญญาประดิษฐ์ (AI) ท่ามกลางความวิตกกังวลว่าหุ้นดังกล่าวมีมูลค่าที่สูงเกินจริงและอาจเผชิญกับภาวะฟองสบู่ นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจสหรัฐฯ

  • ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 46,912.30 จุด ลดลง 398.70 จุด หรือ -0.84%,
  • ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,720.32 จุด ลดลง 75.97 จุด หรือ -1.12% และ
  • ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 23,053.99 จุด ลดลง 445.80 จุด หรือ -1.90%

หุ้น 9 ใน 11 กลุ่มในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยและหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ร่วงลง 2.5% และ 2% ตามลำดับ ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มเฮลธ์แคร์ ดีดตัวขึ้น 0.87% และ 0.2% ตามลำดับ

หุ้นที่เกี่ยวข้องกับ AI ร่วงลงอย่างหนัก เนื่องจากนักลงทุนเริ่มวิตกกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับมูลค่าหุ้นที่แพงเกินจริง โดยหุ้น Qualcomm ร่วงลง 3.6%%, Advanced Micro Devices ดิ่งลง 7.27% หุ้น Palantir Technologies ร่วงลง 6.8% และหุ้น Oracle ปรับตัวลง 2.6%

ส่วนหุ้นบริษัทเทคโนโลยีในกลุ่ม Magnificent Seven ดิ่งลงเช่นกัน โดยหุ้น Nvidia ร่วงลง 3.6% หุ้น Meta Platforms ร่วงลง 2.6% หุ้น Microsoft ลดลง 2%

ดัชนี CBOE Volatility Index (VIX) ซึ่งเป็นมาตรวัดความวิตกกังวลของนักลงทุนในตลาดหุ้นนิวยอร์ก พุ่งขึ้น 8.27% ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาวะฟองสบู่ของหุ้นในธุรกิจ AI

หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ ถูกชัตดาวน์ เป็นวันที่ 37 แล้วในวันพฤหัสบดี ส่งผลให้นักลงทุนต้องเผชิญกับการขาดแคลนข้อมูลเศรษฐกิจ และหันไปพึ่งพาข้อมูลทางเลือกจากภาคเอกชน โดย Challenger, Gray & Christmas ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านการจ้างงาน เปิดเผยว่า การประกาศเลิกจ้างพนักงานของภาคเอกชนในสหรัฐฯ มีจำนวนรวม 153,074 ตำแหน่งในเดือนตุลาคม เพิ่มขึ้นถึง 183% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดสำหรับเดือนตุลาคมนับตั้งแต่ปี 2546 เนื่องจากบริษัทต่าง ๆ ทำการปรับโครงสร้างพนักงานให้เหมาะสมกับยุคของ AI ที่กำลังมีการขยายตัว ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในตลาดแรงงาน

รายงานของ Challenger, Gray & Christmas ระบุว่า อุตสาหกรรมเทคโนโลยีเป็นภาคส่วนที่มีการปลดพนักงานมากที่สุด เนื่องจากอยู่ในช่วงของการปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อตอบรับการนำ AI เข้ามาใช้งาน โดยบริษัทเทคโนโลยีประกาศปลดพนักงาน 33,281 ตำแหน่งในเดือนตุลาคม ซึ่งมากกว่าเดือนกันยายนเกือบ 6 เท่า

นักวิเคราะห์จากบริษัท Simplify Asset Management กล่าวว่า ตัวเลขการปลดพนักงานที่เปิดเผยโดย Challenger, Gray & Christmas ถือเป็นข้อมูลที่น่าผิดหวัง และทำให้เกิดความกังวลว่าตลาดแรงงานกำลังอ่อนแอลงอย่างรวดเร็ว และรุนแรงกว่าที่เฟดเคยระบุไว้

นอกจากนี้ ปัญหาการชัตดาวน์หน่วยงานของรัฐบาลยังทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งต้องพึ่งพาข้อมูลเศรษฐกิจด้วยนั้น กำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากในการตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ย โดยล่าสุด ออสตัน กูลส์บี ประธานเฟดสาขาชิคาโกกล่าวว่า เขามีความลังเลที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงต่อไป เนื่องจากการปิดหน่วยงานรัฐบาลทำให้ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อที่สำคัญ ซึ่งถือเป็นสถานการณ์ที่น่ากังวล โดยเฉพาะในช่วงที่อัตราเงินเฟ้อโดยทั่วไปเริ่มกลับมาสูงขึ้นในระยะนี้

ส่วนในด้านผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนนั้น ข้อมูลจาก LSEG ระบุว่า นับจนถึงขณะนี้มีบริษัท 424 แห่งในดัชนี S&P500 ที่รายงานผลประกอบการไตรมาส 3/2568 แล้ว โดยในจำนวนนี้มี 83% ที่มีผลประกอบการสูงกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ในวอลล์สตรีท ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า การเติบโตของรายได้บริษัทในดัชนี S&P500 จะอยู่ที่ 16.8% ในไตรมาส 3 ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจากระดับ 8% ที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้

หุ้น DoorDash ซึ่งบริษัทฟู้ดเดลิเวอรี่ยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ ร่วงลง 17.5% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ต่ำกว่าคาดในไตรมาส 3 เนื่องจากค่าใช้จ่ายที่ปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่หุ้น Snap ซึ่งเป็นเจ้าของแพลตฟอร์ม Snapchat ดีดตัวขึ้น 9.7% หลังเปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาดในไตรมาส 3 และประกาศเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับบริษัท Perplexity AI

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (07 พ.ย. 68)