
น.ส.ลลิดา เพริศวิวัฒนา รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบตามที่นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เสนอให้ขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยที่เก็บเกี่ยวอ้อยสดคุณภาพดี 100% จากเดิมสิ้นสุดเดือนก.ย. 68 ไปจนถึงสิ้นเดือนธ.ค. 68 เพื่อให้สามารถช่วยเหลือเกษตรกรได้ครบทุกสิทธิ และเป็นส่วนหนึ่งของการลดปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) จากการเผาอ้อยในฤดูผลิต
มาตรการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของโครงการสร้างแรงจูงใจให้ชาวไร่อ้อยหันมา ตัดอ้อยสดแทนการเผา ซึ่งช่วยลดมลพิษ PM 2.5 ในหลายจังหวัดภาคกลาง-อีสาน โดยรัฐบาลอนุมัติกรอบวงเงินรวม 5,175 ล้านบาท ใช้แหล่งเงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ไปพลางก่อน และจัดสรรค่าชดเชยต้นทุนทางการเงินรวม 158.58 ล้านบาท ตามเกณฑ์ที่คณะกรรมการกลั่นกรองฯ เคยอนุมัติไว้
อย่างไรก็ตาม ยังมีเกษตรกรบางส่วนที่มีสิทธิได้รับเงินช่วยเหลือแต่ยังไม่สามารถยืนยันตัวตนหรือปรับปรุงข้อมูลในแอปพลิเคชันของภาครัฐได้ครบถ้วน ทำให้ยังไม่ได้รับการโอนเงินตามกำหนด จึงจำเป็นต้องขยายเวลา เพื่อให้เกษตรกรทุกคนที่มีสิทธิสามารถรับเงินได้ครบถ้วน ไม่ตกหล่นแม้แต่รายเดียว
ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ต่างเห็นชอบ/ไม่ขัดข้อง โดยเสนอให้กระทรวงอุตสาหกรรมประสานงานอย่างรัดกุม ทั้งด้านการประชาสัมพันธ์ การจัดทำข้อมูลทะเบียนเกษตรกรให้เป็นปัจจุบัน และการประเมินผลมาตรการเพื่อนำไปสู่การปรับปรุงนโยบายลดการเผาอ้อยในระยะยาว
น.ส.ลลิดา กล่าวว่า การขยายเวลาในครั้งนี้ จะช่วยให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยได้รับเงินสนับสนุนครบถ้วน ขณะเดียวกัน ยังเป็นมาตรการเสริมเพื่อควบคุมมลพิษอากาศในช่วงฤดูฝุ่น PM 2.5 ซึ่งเริ่มเข้าสู่ช่วงวิกฤติอีกครั้งในปลายปี พร้อมย้ำว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับทั้งรายได้เกษตรกร และคุณภาพอากาศของประชาชนอย่างเท่าเทียมกัน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (18 พ.ย. 68)





