
สถานการณ์อุทกภัยบนเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย ยังคงวิกฤต ล่าสุดมีรายงานในวันนี้ (3 ธ.ค.) ว่า ยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 804 รายในสัปดาห์นี้ ขณะที่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเรียกร้องให้รัฐบาลกลางเร่งช่วยเหลือเป็นการด่วน เนื่องจากงบประมาณ อาหาร และเชื้อเพลิงในพื้นที่กำลังขาดแคลนอย่างหนัก
ผลพวงจากพายุไซโคลนทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและดินถล่มใน 3 จังหวัด ได้แก่ สุมาตราตะวันตก สุมาตราเหนือ และอาเจะฮ์ ส่งผลให้มีผู้สูญหายอีกกว่า 634 ราย การเข้าช่วยเหลือเป็นไปอย่างยากลำบากเนื่องจากกระแสไฟฟ้าถูกตัดขาดและเส้นทางสัญจรเสียหาย
พื้นที่จังหวัดอาเจะฮ์ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ชาวบ้านในอำเภออาเจะฮ์ตามียังจำต้องนำน้ำโคลนที่ท่วมอยู่มาดื่มกินเพราะขาดน้ำสะอาด ขณะที่เตออูกู ราจา เกออู มางัน เจ้าหน้าที่อำเภอนากันรายา ซึ่งมีผู้ประสบภัยกว่า 25,000 คน เปิดเผยกับสื่อท้องถิ่นว่า “ชาวบ้านเริ่มเจ็บป่วย” และงบประมาณช่วยเหลือของท้องถิ่นได้หมดลงแล้ว
เช่นเดียวกับไฮลี โยกา หัวหน้าอำเภออาเจะฮ์กลาง ระบุว่าเชื้อเพลิงและข้าวสารใกล้หมดเต็มที เขาจึงเรียกร้องให้รัฐบาลกลางประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินระดับชาติ ท่ามกลางความไม่พอใจของประชาชนที่รู้สึกว่าถูกตัดขาดจากความช่วยเหลือ
ด้านบริษัทพลังงานแห่งชาติเปอร์ตามีนา (Pertamina) ยอมรับว่าการขนส่งเชื้อเพลิงไปยังพื้นที่ประสบภัยแทบทุกจุดทำได้ยากลำบาก และต้องใช้เวลาหาเส้นทางเลี่ยง
แม้มีเสียงเรียกร้องจากท้องถิ่น แต่ประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต กลับระบุก่อนหน้านี้ว่า สถานการณ์กำลังดีขึ้นและมาตรการที่มีอยู่ยังรับมือไหว สอดคล้องกับปราเซตโย ฮาดี โฆษกประธานาธิบดี ที่แถลงยืนยันว่า งบภัยพิบัติ 5 แสนล้านรูเปียห์ (30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพียงพอต่อการดำเนินงาน และพร้อมอนุมัติเพิ่มหากจำเป็น
ประเด็นการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินระดับชาตินั้น โจนาธาน วิกเตอร์ เรมเบท จากสำนักงานบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ชี้แจงว่าจะทำได้ก็ต่อเมื่อจังหวัดประกาศยอมรับว่าเกินกำลังรับมือ ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีจังหวัดใดประกาศอย่างเป็นทางการ
อย่างไรก็ตาม ตีโต การ์นาเฟียน รัฐมนตรีมหาดไทย ได้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าโดยขอให้ท้องถิ่นที่ไม่ได้รับผลกระทบแบ่งงบประมาณเหลือจ่ายมาช่วยพื้นที่ประสบภัย และรับปากว่ารัฐบาลกลางจะเข้าสนับสนุนท้องถิ่นที่ “รับมือไม่ไหวแล้ว”
ทั้งนี้ ชาวอินโดนีเซียจำนวนมากวิพากษ์วิจารณ์ท่าทีของรัฐบาลกลางผ่านโซเชียลมีเดีย โดยตั้งข้อสังเกตว่าปีนี้งบประมาณสำนักงานบรรเทาสาธารณภัยถูกปรับลดลงถึง 50%
สำหรับสาเหตุของภัยพิบัติครั้งนี้ กลุ่มนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมระบุว่า ความรุนแรงของน้ำท่วมและดินถล่มมีต้นตอสำคัญจากการตัดไม้ทำลายป่าและการลักลอบตัดไม้อย่างผิดกฎหมาย
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (03 ธ.ค. 68)





