
นายรองรักษ์ พนาปวุฒิกุล รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานกฎหมายและบริหารกิจกรรมเพื่อสังคม ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ต้นปี 69 ตลท.จะทบทวนประสิทธิภาพของมาตรการที่บังคับใช้ในปี 68 เพื่อประเมินผลและปรับปรุงให้เหมาะสมกับสถานการณ์ต่อไป
โดยในปี 68 เกิดเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ ขึ้นซึ่งส่งผลกระทบต่อตลาดทุนไทย อาทิ นโยบายภาษีการค้าของสหรัฐฯ ประเด็นความไม่แน่นอนทางการเมือง ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ขณะที่เหตุการณ์สำคัญในตลาดทุน อาทิ มาตรการสร้างความเชื่อมั่นของตลาดทุน ทั้งการเม็ดเงิน LTF เป็น Thai ESGX อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นไทยก็ถูกดดันจาก MSCI ปรับลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทย 2 รอบด้วยกัน ส่วนของหุ้น IPO ปีนี้ก็ลดลงค่อนข้างมาก
ในช่วงที่ผ่านมา ตลท.ได้ดำเนินมาตรการ 2 ส่วนหลัก ประกอบด้วยการกำกับดูแลบริษัทจดทะเบียน (บจ.) มีการทบทวนเกณฑ์การรับหลักทรัพย์โดยเน้น “คุณภาพ” มากขึ้น เพิ่มข้อกำหนดด้านกำไรและส่วนของผู้ถือหุ้น ยกระดับเกณฑ์ Free Float และ Silent Period การยกระดับการเตือน แยกเครื่องหมาย C ตามเหตุที่แตกต่างกัน ติดตามให้บจ.ชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติม กรณีมีข้อสงสัย รวมถึงการเข้าจดทะเบียนทางอ้อม (Backdoor Listing) ให้มีความเข้มงวดเทียบเท่ากับการทำ IPO ปกติ
และในแง่ของการกำกับดูแลการซื้อขาย ออกมาตรการเพื่อดูแลเสถียรภาพของตลาด เช่น การจำกัดการขายชอร์ต (Short Sell) ให้ทำได้เฉพาะหุ้นในกลุ่ม SET100, การปรับเรื่องของการบังคับใช้ Uptick Rule, การขึ้นทะเบียนผู้ลงทุนประเภท HFT (High-Frequency Trading) และการยกระดับเครื่องหมายเตือน (C)
“เดี๋ยวคงต้องมีการทบทวนในส่วนของมาตรการที่เราบอกว่าทำแล้วรายย่อยจะกลับมา รายย่อยได้กลับมาจริงไหม แต่สิ่งแน่ ๆ คือหลายอย่างมาตรการเป็นมาตรการจำกัดการลงทุนของต่างชาติ สิ่งที่เราทำเราคาดหวังว่าจะได้ผู้ลงทุนรายย่อยเข้ามาแต่กลายเป็นว่าผู้ลงทุนรายย่อยไม่กลับมาต่างชาติก็หนีหายไป ก็เป็นสิ่งที่เราต้องมาทบทวนและปรับปรุงเปลี่ยนแปลงยังไงในต้นปีหน้า”
สำหรับทิศทางในปีหน้า ตลท. จะเดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนงานสำคัญซึ่งเป็นความร่วมมือกับคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ที่ได้มีแถลงออกไป ทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ Quality Demand , Attractive Supply , Trusted Market และ Supportive Ecosystem
โดยปีหน้าคาดว่าจะเห็นการบังคับใช้เกณฑ์เพิ่มเติม เช่นเกณฑ์เพื่อเพิ่ม “Trust & Confidence”และเพิ่มทางเลือกให้กับผู้ลงทุน ที่ได้เปิดเฮียริ่งไปในปีนี้และปิดรับฟังความคิดเห็นเมื่อวันที่ 14 พ.ย. ที่ผ่านมา โดยจะมีการปรับปรุงเกณฑ์การทำธุรกรรมที่มีนัยสำคัญ (Material Transaction) และรายการที่เกี่ยวโยงกัน (Related Party Transaction) โดยจะเปลี่ยนฐานการคำนวณจากสินทรัพย์ที่มีตัวตนสุทธิ (Net Tangible Asset) เป็นมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (Net Asset Value) เพื่อให้สะท้อนมูลค่าของสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตน เช่น เทคโนโลยีและทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งจะส่งผลให้เกณฑ์การเข้าจดทะเบียนทางอ้อมมีความรัดกุมและเป็นธรรมมากขึ้น
ยกระดับ “Gatekeeper” ของ บจ.: ตลท. จะเพิ่มบทบาทและความรับผิดชอบของบุคคลสำคัญที่เกี่ยวข้องกับ บจ. ได้แก่ กรรมการบริษัท และผู้ตรวจสอบภายใน (Internal Audit) ให้ทำหน้าที่กำกับดูแลและป้องกันธุรกรรมที่อาจไม่เหมาะสมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากเป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับการดำเนินงานของบริษัทมากที่สุด
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (04 ธ.ค. 68)





