“ทรัมป์” ติงดีล Netflix ควบรวม Warner หวั่นผูกขาดตลาด เตรียมลงมาดูด้วยตัวเอง

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ แสดงความกังวลกรณี เน็ตฟลิกซ์ อิงค์ (Netflix Inc.) เตรียมเข้าซื้อกิจการ วอร์เนอร์ บราเธอร์ส ดิสคัฟเวอรี อิงค์ (Warner Bros. Discovery Inc.) โดยชี้ว่าหากสองบริษัทรวมตัวกัน จะทำให้ส่วนแบ่งการตลาดสูงเกินไปจนอาจเข้าข่ายผูกขาดทางการค้า

ทรัมป์ให้สัมภาษณ์เรื่องนี้เมื่อวันอาทิตย์ (7 ธ.ค.) ว่าธุรกรรมนี้ต้องเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบอย่างละเอียด “เรื่องนี้ต้องรอดูกันต่อไป” ทรัมป์กล่าว และเสริมว่า “แต่ส่วนแบ่งการตลาดขนาดนี้ถือว่าใหญ่มาก ซึ่งอาจกลายเป็นปัญหาได้”

แม้ทรัมป์จะกล่าวชื่นชมเน็ตฟลิกซ์ และยอมรับว่าเพิ่งได้พบกับ เท็ด ซารานดอส ซีอีโอร่วมของเน็ตฟลิกซ์มาหมาด ๆ แต่ทรัมป์ก็ย้ำจุดยืนว่า ลำพังเน็ตฟลิกซ์เจ้าเดียวก็ครองตลาดมหาศาลอยู่แล้ว หากได้ วอร์เนอร์ บราเธอร์ส เข้าไปเสริมทัพอีก ตัวเลขส่วนแบ่งจะยิ่งพุ่งสูงขึ้นไปอีก ทรัมป์จึงยืนยันว่าจะเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจครั้งนี้ด้วยตัวเอง

สำหรับข้อตกลงดังกล่าวมีมูลค่าสูงถึง 7.2 หมื่นล้านดอลลาร์ ถือเป็นการจับมือกันระหว่างเจ้าตลาดสตรีมมิ่งเบอร์ 1 ของโลก กับ เอชบีโอ แม็กซ์ (HBO Max) ผู้เล่นอันดับ 4 ทำให้หน่วยงานกำกับดูแลต้องจับตามองเป็นพิเศษ โดยเฉพาะแผนกป้องกันการผูกขาดของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ที่อาจมองว่าดีลนี้ผิดกฎหมาย เพราะจะทำให้เน็ตฟลิกซ์ครองส่วนแบ่งตลาดเกินเพดาน 30%

การควบรวมกิจการครั้งนี้จะเปลี่ยนดุลอำนาจของฮอลลีวูดทันที เพราะเน็ตฟลิกซ์จะได้ครอบครองสินทรัพย์อย่างภาพยนตร์และซีรีส์ตระกูล Harry Potter, Game of Thrones และจักรวาล DC Comics ซึ่งจะช่วยให้เน็ตฟลิกซ์แข่งขันกับยักษ์ใหญ่อย่างดิสนีย์ (Disney) ได้เต็มที่โดยไม่ต้องง้อสตูดิโอภายนอกอีกต่อไป

อย่างไรก็ตาม คาดว่าทางเน็ตฟลิกซ์เตรียมข้อโต้แย้งไว้แล้วว่า การคำนวณส่วนแบ่งตลาดควรนับรวมแพลตฟอร์มอื่น ๆ อย่าง ยูทูบ (YouTube) ของกูเกิล (Google) และติ๊กต๊อก (TikTok) ของไบต์แดนซ์ (ByteDance Ltd.) เข้าไปด้วย ซึ่งหากคิดตามสูตรนี้ สัดส่วนความเป็นเจ้าตลาดของเน็ตฟลิกซ์จะดูลดน้อยลงทันที

ก่อนหน้านี้ สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ซารานดอสได้เข้าพบทรัมป์ที่ทำเนียบขาวเพื่อล็อบบี้เรื่องการซื้อกิจการ โดยอ้างเหตุผลว่าเน็ตฟลิกซ์ไม่ได้มีอำนาจผูกขาดเบ็ดเสร็จอย่างที่กังวล และบริษัทเองก็เคยเผชิญวิกฤตยอดสมาชิกหดตัวเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (08 ธ.ค. 68)