โบรกหวัง TISA หนุนตลาดหุ้นปี 69 ชี้เป้าหุ้นเด่น แบงก์-หุ้นปันผลงาม-ESG เรทติ้งสูง

บล.เอเซียพลัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า SET Index ย่อตัวมาตลอด 3 ปี <-20% จนมีสภาพคล่องต่ำสุดในรอบ 4 ปี จากกำไรที่ชะลอลงถึง 6 ใน 7 ปีที่ผ่านมากดดันให้หุ้นมี VALUATION ถูกกว่าปกติ มี P/E EX DELTA 13.2เท่า คาดหวังปันผลได้เกิน 4.2%และมีหุ้น PBV < 1 ถึง 476 บริษัท

อย่างไรก็ตามเริ่มเห็นความหวังจากกำไรที่เริมกลับมาเติบโต บริษัททยอยซื้อหุ้นคืนต่อเนื่อง และ TISA ที่จะเข้าครม.วันพรุ่งนี้มีรายละเอียดเบื้องต้นดังนี้

– เปิดบัญชีเพื่อการลงทุน (THAILAND INDIVIDUAL SAVINGS ACCOUNT) หรือ TISA กับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม(บลจ.)หรือธนาคารพาณิชย์ 1 บัญชี โดยสามารถลงทุนได้ทั้งหุ้นสามัญของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หุ้นกู้ และหน่วยลงทุนของกองทุนรวม โดยจะมีการกำหนดสัดส่วนที่อนุญาตให้ลงทุนในกองทุนสินทรัพย์ต่างประเทศในภายหลัง

– กำหนดสิทธิลดหย่อนภาษีสูงสุด 800,000 บาทต่อปี

– กรณีมีการจ่ายเงินปันผลหรือจ่ายดอกเบี้ย วงเงิน 200,000 บาทแรก จะได้รับการยกเว้นภาษีหัก ณ ที่จ่าย 10%

– เบื้องต้นคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ม.ค.69 เป็นต้นไป

– รวมถึงจะลดหย่อนได้ 1.3 เท่า (รายได้น้อยกว่า 1.5 ล้านบาทต่อปี), จะลดหย่อนได้ 0.7 เท่า (รายได้สูงกว่า 1.5 ล้านบาทต่อปี), จะลดหย่อนได้ 1.2 เท่า (สำหนับสินทรัพย์อิง ESG)

– ขายได้ 100% ตอนอายุ 55 ปี ถ้าอายุมากกว่าต้องถืออย่างน้อย 5 ปี หรือหากเกิดเหตุฉุกเฉินเช่นน้ำท่วม ขายได้ 25%

แนะนำหุ้นเด่นรับกระแส TISA

– หุ้นมีรายได้เพิ่มจากมาตรการ TISA KBANK, KTB, BBL, SCB, ASP, KGI

– หุ้นหวังปันผลสูงเกิน 8% มี ESG RATING คือ SIRI, DRT, SC, BA, LH, PTTEP, ICHI, MC, STA,MAJOR

– หุ้นมี ESG RATING AAA ขนาดใหญ่ PTT, KBANK, KTB, CPALL, BBL, CPN, SCC, TTB, CPF,OR

ด้านบล.อินโนเวสท์ เอกซ์ วิเคราะห์แนวคิด Individual Savings Account (ISA) ซึ่งเป็นบัญชีออม-ลงทุนที่ให้สิทธิยกเว้นภาษีเงินปันผลและกำไรจากการลงทุน โดยมีต้นแบบจาก ISA ในอังกฤษ และ NISA ในญี่ปุ่น ซึ่งทั้งสองประเทศประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนโครงสร้างสินทรัพย์ครัวเรือน โดยเฉพาะญี่ปุ่นที่สัดส่วนการลงทุนต่อเงินฝากเพิ่มจาก 17% (2015) เป็น 23.6% (2024) และมีผู้ใช้ NISA เพิ่มจาก 8.3 ล้านบัญชี (2014) เป็น 25.6 ล้านบัญชี (2024)

สำหรับประเทศไทย สินทรัพย์ทางการเงินมีสัดส่วนเพียง 10% ของสินทรัพย์ครัวเรือนทั้งหมด (ต่ำกว่าสหรัฐฯ 42%, EU 25%, ญี่ปุ่น 12%) โดยการลงทุนคิดเป็นเพียง 0.5% ของสินทรัพย์ทั้งหมด ขณะที่คนไทยออม 24% ของ GDP และกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัย ดังนั้น มาตรการ TISA จะช่วยเพิ่มสัดส่วนสินทรัพย์ทางการเงิน พัฒนาตลาดทุน และรองรับสังคมผู้สูงอายุ โดย InnovestX คาดว่ามาตรการ TISA จะทำให้จำนวนผู้ลงทุนในตลาดทุนเพิ่มจาก 1.7 ล้านคน หรือ 2.3% ของจำนวนประชากร ในปี 2026 เป็น 3.7 ล้านคน หรือ 5.1% ของประชากรใน 10 ปีข้างหน้า

อย่างไรก็ตาม ตามแนวนโยบาย TISA ล่าสุด กระทรวงการคลังจะใช้กลไกลดหย่อนภาษีแทนการยกเว้นภาษี ต่างจาก ISA/NISA ของต่างประเทศที่ให้สิทธิประโยชน์ลดหย่อนเงินปันผลและ Capital Gain Tax ทำให้ TISA มีลักษณะเป็นเพียง “LTF เวอร์ชันใหม่” ที่เน้นให้ผลประโยชน์ผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (PIT) สูง ไม่ใช่การปฏิรูปโครงสร้างที่แท้จริง

นอกจากนั้นการกำหนดเพดานลดหย่อนภาษีรวมไม่เกิน 800,000 บาทต่อปี จะทำให้แรงจูงใจในการลงทุนในตลาดทุนลดลง เนื่องจากผู้เสีย PIT ของไทยมีเพียง 15.9% ของประชากร (ต่ำกว่า UK 50.6%, ญี่ปุ่น 18.4%) ยิ่งไปกว่านั้น ในกรณีของญี่ปุ่น (NISA) ทางการได้มีการปฎิรูปนโยบายการเงิน การคลัง รวมถึงพัฒนาธรรมาภิบาลไปพร้อมกัน (นโยบายธนูสามดอก) ขณะที่ในกรณีของไทยเป็นเพียงแต่การสนับสนุนตลาดทุนผ่านมาตรการภาษี ทำให้มีความเป็นไปได้ที่ TISA อาจไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการวิเคราะห์ครั้งนี้ อ้างอิงข้อมูลที่เผยแพร่ล่าสุด แต่ยังไม่ได้ประกาศเป็นทางการขั้นสุดท้าย ซึ่งรายละเอียดในความเป็นจริงอาจแตกต่างจากที่สื่อสารมาก่อนหน้านี้ได้ โดยหากทางการปฏิรูปนโยบายการเงินการคลัง และธรรมาภิบาลอย่างเป็นระบบ ผลบวกของมาตรการ TISA อาจสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ได้

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (08 ธ.ค. 68)