
กระทรวงการคลัง เตรียมเสนอ “Quick Big Win เสาที่ 4 “เพิ่มโอกาสการออม และความมั่นคงทางการเงินของประชาชน” ดันโครงการ TISA, พันธบัตร “ออมพลัส”, ประกันชีวิตแบบบำนาญ เข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง เปิดเผยถึงผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) ในการนำเสนอหลักการและกรอบมาตรการ “Quick Big Win” เสาที่ 4 เพื่อสนับสนุนการออมของประชาชน เนื่องจากการออมของไทยยังอยู่ในระดับต่ำกว่าหลายประเทศพัฒนาแล้ว และมีแนวโน้มลดลง โดยในปี 57 สัดส่วนการออมอยู่ที่ 27.7% ของ GDP ลดลงเหลือ 25.3% ของ GDP ในปี 66
การออมของไทยในปัจจุบันถูกกดดันจากหนี้ภาคครัวเรือนสูง และผลตอบแทนทางการเงินของเงินฝากจำกัด ยิ่งไปกว่านั้น ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (aged society) อย่างรวดเร็ว โดยจังหวัดที่มีประชากรสูงอายุมากกว่า 20% มีถึง 53 จังหวัด อีกทั้งผู้สูงวัยของไทยยังไม่มีความมั่นคงทางการเงินอย่างเพียงพอ ซึ่งอาจสร้างความเสี่ยงทางภาระการดูแล รวมทั้งภาระทางการเงินแก่ระบบการเงินและการคลังในระยะกลางถึงระยะยาว
เพื่อเป็นการแก้ปัญหาการออมทั้งระบบ การสร้างแรงจูงใจ สร้างความมั่นใจ และสร้างความสบายใจ ให้กับประชาชนและนักลงทุน ผ่านนวัตกรรมทางการออมและการลงทุน พร้อมมาตรการภาครัฐ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการขยายฐานการออม และการลงทุนในระยะยาวเป็นสิ่งสำคัญ โดยมาตรการนี้ มีเป้าหมายในการสนับสนุนคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเริ่มทำงาน มนุษย์เงินเดือน หรือผู้ที่มีรายได้ปานกลางให้มีเงินออมไว้ใช้จ่ายยามเกษียณ ควบคู่กับการช่วยผู้ที่อยู่ในวัยใกล้เกษียณ หรือเกษียณแล้วที่ต้องการความมั่นคงทางการเงินเพิ่มเติม ในขณะเดียวกัน ยังช่วยให้ประชาชนเข้าถึงการออมที่สะดวก มีต้นทุนต่ำ และช่วยสร้างความมั่นคงทางการเงินในอนาคต
- สร้างแรงจูงใจให้เกิดการออมระยะยาว
1. โครงการบัญชีการออมการลงทุนส่วนบุคคล หรือ Thailand Individual Saving Account (TISA) ยกระดับแนวทางการออมและการลงทุนระยะยาว ด้วยกรอบสิทธิประโยชน์และบัญชีออม-ลงทุนระยะยาวยุคใหม่ เพื่อเปิดทางเลือกการออมที่หลากหลายขึ้น และสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนออมอย่างต่อเนื่อง
TISA ออกแบบมาเพื่อผู้ที่เริ่มต้นทำงาน หรือมนุษย์เงินเดือน สามารถเลือกลงทุนได้หลากหลาย ตามความเสี่ยงของแต่ละบุคคล โดยจะเป็นการเปิดบัญชี TISA เพื่อการลงทุนระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการซื้อหลักทรัพย์ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) กองทุนรวมเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) หรือกองทุนรวมใหม่ ๆ โดยไม่จำกัดวงเงินแต่ละกอง สามารถนำมาคำนวณการลดหย่อนภาษีร่วมกันได้ตามวงเงินรวมที่รัฐบาลกำหนด
การดำเนินมาตรการจะแบ่งเป็น 2 ช่วง
- มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาวเพื่อเปลี่ยนผ่านไปเป็นมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาวผ่านบัญชี TISA กรมสรรพากรยกร่างกฎกระทรวงเพื่อมาตรการภาษี โดยรวมการหักลดหย่อนภาษีจากเงินค่าซื้อหน่วยลงทุน เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ เงินสะสม สูงสุดไม่เกิน 8 แสนบาท เฉพาะเงินค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) ให้นำมาหักลดหย่อนได้ 1.2 เท่า แต่ไม่เกิน 8 แสนบาท
กรณีผู้มีเงินได้ไม่ถึง 1.5 ล้านบาท/ปี: หักภาษีได้ 1.3 เท่า
กรณีผู้มีเงินได้เกิน 1.5 ล้านบาท/ปี: หักภาษีได้แค่ 0.7 เท่า
พ่วงการ ยกเว้นภาษี ณ ที่จ่าย ดอกเบี้ย-เงินปันผล 200,000 บาทแรก
- มาตรการ TISA กำหนดให้ผู้มีเงินได้นำเงินค่าซื้อหลักทรัพย์ในบัญชี TISA ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่เมื่อรวมค่าเบี้ยประกันสำหรับการประกันชีวิตแบบบำนาญ เงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เฉพาะส่วนที่เกิน 10,000 เงินสะสมกองทุนบำเหน็จบำนาญราชการ เงินสะสมเข้ากองทุนการออมแห่งชาติ แต่ต้องไม่เกินปีภาษีละ 800,000 บาท ได้รับการยำเว้นไม่ต้องนำไปรวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ทั้งนี้ เฉพาะการซื้อหลักทรัพย์ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2569 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2571 ให้นำมาหักลดหน่อยได้ 1.2 เท่า แต่ไม่เกิน 800,000 บาท
ผู้ที่ลงทุนในบัญชี TISA ไม่น้อยกว่า 5 ปี และไถ่ถอนหลักทรัพย์เมื่ออายุไม่ต่ำกว่า 55 ปี หรือนำเงินที่ไถ่ถอนในซื้อหลักทรัพย์เพิ่มเติมในบัญ๙ี TISA จะได้รับการยกเว้นภาษีสำหรับผลประโยชน์ที่ได้รับ ยกเว้นภาษีดอกเบี้ย เงินปันผล เงินส่วนแบ่งกำไร หรือผลประโยชน์อื่นใดที่ได้รับจากบัญชี TISA
สำหรับการดำเนินการในช่วงระยะเวลาเปลี่ยนผ่านจากมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาวสู่มาตรภาษี เพื่อส่งเสริมการออมระยะยาวผ่านบัญชี TISA จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป ส่วนมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาวผ่านบัญชี TISA จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2569
2. โครงการ “พันธบัตรรัฐบาล ออมพลัส” รัฐบาลเพิ่มช่องทางให้ประชาชนเข้าถึงการออมที่มั่นคงผ่าน “พันธบัตรรัฐบาล ออมพลัส” เพื่อสร้างความมั่นใจในการออมระยะยาว ด้วยพันธบัตรรัฐบาลที่มีความมั่นคงสูง และออกขายอย่างต่อเนื่องเดือนละครั้ง โดยการซื้อ “พันธบัตรรัฐบาล ออมพลัส” จะทำได้ผ่านช่องทางที่หลากหลาย ทั้งออนไลน์ผ่านระบบ Bond Connect และออฟไลน์ผ่านสาขาธนาคารพาณิชย์ ช่วยแก้ข้อจำกัดและความยุ่งยากในอดีตที่ประชาชนต้องต่อคิวยาว หรือเร่งซื้อในช่วงเปิดจอง ทำให้ประชาชนหลายกลุ่มเข้าไม่ถึงและไม่ทัน
เครื่องมือการออมนี้ ออกแบบโดยคำนึงถึงประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มใกล้เกษียณ และผู้สูงอายุที่ต้องการการออมที่ให้ความมั่นใจ โดยพันธบัตรใหม่นี้ทำให้การออมให้เป็นเรื่องง่าย ใกล้ตัว และสะดวกขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ “พันธบัตรรัฐบาล ออมพลัส” ยังสามารถนำไปขายได้ในตลาดรองเมื่อมีความจำเป็นต้องใช้สภาพคล่อง ด้วยราคาที่ผ่านกลไกตลาด ทำให้มีความโปร่งใส และช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น และความสบายใจให้กับผู้ถือพันธบัตร สร้างความสบายใจด้วยการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ประกันที่เหมาะสม
3. มาตรการยกเว้นอากรแสตมป์สำหรับกรมธรรม์ประกันภัยรายย่อย (ไมโครอินชัวรันส์) เพื่อให้ประชาชนรายได้ น้อยสามารถเข้าถึงการประกันภัยขั้นพื้นฐานได้ ด้วยเบี้ยประกันภัยที่ไม่สูงมาก ความคุ้มครองและเงื่อนไขกรมธรรม์ที่ไม่ซับซ้อน ข้อยกเว้นที่น้อย ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ส่งเสริมวินัยทางการเงิน การออม และใช้การประกันภัยเป็นเครื่องมือการบริหารความเสี่ยงในชีวิตและทรัพย์สิน อีกทั้ง ธุรกิจประกันภัยสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยรายย่อย (ไมโครอินชัวรันส์) ให้มีความหลากหลาย และสอดคล้องกับกลุ่มดังกล่าวมากขึ้น
4. ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบบำนาญ รูปแบบจ่ายเงินก้อนเมื่อเริ่มรับบำนาญ (Lump-Sum Annuity) ส่งเสริมการประกันชีวิตแบบบำนาญที่สามารถรับผลประโยชน์เป็นเงินก้อนเมื่อรับเงินบำนาญงวดแรกได้ เพื่อใช้ในการเตรียมความพร้อมเข้าสู่วัยเกษียณ หรือเพื่อความจำเป็นอื่น ช่วยให้การวางแผนเกษียณ มีความยืดหยุ่นและมั่นใจมากขึ้น เพิ่มเงินออมในอนาคต เพิ่มแรงจูงใจในการออมระยะยาว ลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาระบบบำนาญภาครัฐเพียงแหล่งเดียว และรองรับสังคมผู้สูงอายุ
โดยกรมสรรพากร ได้แก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การจ่ายผลประโยชน์เงินบำนาญสำหรับการหักลดหย่อนเบี้ยประกันภัยสำหรับการประกันชีวิตแบบบำนาญ จากเดิมกำหนดให้การจ่ายผลประโยชน์เงินบำนาญ ต้องจ่ายเท่ากันทุกงวด หรือจ่ายในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นตามระยะเวลาเอาประกันภัย ปรับปรุงเป็น เงินบำนาญงวดแรกที่ได้รับ อาจจ่ายเป็นเงินก้อน (Lump-Sum Annuity) ได้
นายเอกนิติ กล่าวด้วยว่า เพื่อส่งเสริมให้เกิดการออมอย่างมีประสิทธิภาพ คณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ ยังได้รับทราบมาตรการที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ซึ่งดำเนินการโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ได้แก่
1) การปฏิรูปหลักเกณฑ์การลงทุนของธุรกิจประกันภัย เพื่อยกระดับความมั่นคง และผลตอบแทนของเงินออมของประชาชน เพื่อให้สอดคล้องกับความเสี่ยง และภาวะของตลาดเงินตลาดทุนที่เปลี่ยนแปลงไป ให้ธุรกิจประกันภัยสามารถเข้าถึงช่องทางการลงทุนที่หลากหลายมากขึ้น และรักษาความสามารถในการจ่ายผลตอบแทนแก่ผู้เอาประกันภัยในระยะยาวได้
2) การปรับปรุงหลักเกณฑ์ค่าความเสี่ยงตราสารทุน เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงินให้แก่ประชาชน ให้สะท้อนความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจริงในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน และแนวทางการกำกับดูแลแบบสากล
“การเพิ่มโอกาสการออม และความมั่นคงทางการเงินของประชาชน เป็นนโยบายด้านเศรษฐกิจที่สำคัญ และเร่งด่วนของรัฐบาล กระทรวงการคลัง จะนำมาตรการต่าง ๆ นี้ เสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยเชื่อว่ามาตรการภายใต้ “Quick Big Win เสาหลักที่ 4″ จะช่วยให้ประชาชนมีทางเลือกการออมที่เข้าถึงง่าย คุ้มค่า และมั่นคงยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันยังช่วยเพิ่มระดับเงินออมของประเทศ และยกระดับเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจไทยโดยรวม” นายเอกนิติ ระบุ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (09 ธ.ค. 68)




