“มาสด้า” ประกาศลงทุนเพิ่มกว่า 5 พันลบ. ใช้ไทยเป็นฐานผลิต MHEV เพื่อส่งออก

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวภายหลังคณะผู้บริหารบริษัท มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น จากประเทศญี่ปุ่น นำโดยนายมาซาฮิโระ โมโระ ประธานและผู้บริหารสูงสุด ที่เข้าพบและหารือกับ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง เพื่อนำเสนอแผนการลงทุนในประเทศไทย

หลังจากคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) เห็นชอบมาตรการสนับสนุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบ MHEV (Mild Hybrid Electric Vehicle) ซึ่งเป็นรถยนต์แบบผสมที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงและไฟฟ้า โดยกำหนดภาษีสรรพสามิตในอัตราคงที่ เป็นเวลา 7 ปี (2569-2575) ทำให้บริษัท มาสด้าฯ ตัดสินใจลงทุนเพิ่มกว่า 5,000 ล้านบาท เพื่อใช้ไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ประเภท MHEV ส่งออกไปตลาดต่างประเทศ โดยจะเริ่มลงทุนต้นปี 2569 คาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในช่วงกลางปี 2570

ปัจจุบันกลุ่มมาสด้า มีบริษัทในประเทศไทย 4 บริษัท ครอบคลุมธุรกิจด้านการผลิตรถยนต์ เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ การจำหน่าย และการตลาดระดับภูมิภาค โดยได้จัดตั้งบริษัท ออโต้อัลลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด (AAT) ร่วมกับฟอร์ด เพื่อเป็นฐานการผลิตรถยนต์สำคัญของภูมิภาค ทั้งรถกระบะ และรถยนต์นั่ง ที่ผ่านมา มีโครงการได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ 4 โครงการ เงินลงทุนรวมกว่า 30,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังจัดตั้งบริษัท มาสด้า พาวเวอร์เทรน แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด (MPMT) เพื่อให้ไทยเป็นฐานการผลิตหลักของเครื่องยนต์เทคโนโลยี SKYACTIV และเกียร์ในภูมิภาค มีโครงการได้รับการส่งเสริมการลงทุน 3 โครงการ เงินลงทุนรวมกว่า 12,000 ล้านบาท

การลงทุนผลิตรถยนต์ประเภท MHEV ในประเทศไทยครั้งนี้ จะเป็นการผลิตรถยนต์อเนกประสงค์รุ่น B-SUV กำลังการผลิต 1 แสนคันต่อปี โดยกว่า 60% จะเป็นการผลิตเพื่อส่งออกไปยังญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอาเซียน เนื่องจากบริษัทฯ และลูกค้าเชื่อมั่นในคุณภาพของรถยนต์ที่ผลิตจากโรงงานในประเทศไทย นอกจากนี้ ยังมีเป้าหมายการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ (Local Content) กว่า 70% อีกด้วย โครงการนี้ นับเป็นก้าวแรกของบริษัทฯ ในการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า โดยมีเป้าหมายที่ก้าวไปสู่การผลิตรถยนต์ไฮบริด (HEV) ต่อไปในอนาคต

สำหรับมาตรการสนับสนุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบ MHEV บอร์ดอีวี ได้กำหนดภาษีสรรพสามิตในอัตราพิเศษ 10% (กรณีปล่อย CO2 ไม่เกิน 100 g/km) และ 12% (กรณีปล่อย CO2 ตั้งแต่ 101-120 g/km) โดยจะเป็นอัตราคงที่ในเวลา 7 ปี (2569-2575) พร้อมทั้งกำหนดเงื่อนไขต้องมีการลงทุนเพิ่มเติมไม่น้อยกว่า 5,000 ล้านบาท

อีกทั้งต้องใช้ชิ้นส่วนสำคัญที่ผลิตหรือประกอบในประเทศ โดยต้องใช้แบตเตอรี่ที่ผลิตในประเทศตั้งแต่ปี 2569 และต้องใช้ชิ้นส่วนสำคัญ ได้แก่ Traction Motor หรือชิ้นส่วนที่มีลักษณะการทำงานเพื่อเสริมแรงขับเคลื่อน ตั้งแต่ปี 2571 และต้องมีการติดตั้งระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ (ADAS) อย่างน้อย 4 จาก 6 ระบบ

“รัฐบาล และบอร์ดอีวี มีเป้าหมายชัดเจนในการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยียานยนต์ จากยานยนต์สันดาปภายใน (ICE) ไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้าประเภทต่างๆ (xEV) ทั้ง BEV, PHEV, HEV และ MHEV เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิต และส่งออกยานยนต์ไฟฟ้าทุกประเภท รวมทั้งเป็นศูนย์กลางห่วงโซ่อุปทานของภูมิภาค

การประกาศลงทุนครั้งใหญ่ของมาสด้า ด้วยกำลังการผลิตที่สูงถึง 1 แสนคัน/ปี เพื่อใช้ไทยเป็นฐานส่งออกไปประเทศต่าง ๆ รวมถึงส่งกลับไปที่ญี่ปุ่นด้วย นับเป็นอีกหมุดหมายสำคัญของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าไทย ตอกย้ำว่าประเทศไทยเดินมาถูกทาง และยังสะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่นักลงทุน และผู้บริโภคมีต่อประเทศไทย ว่าสามารถผลิตรถยนต์ที่มีคุณภาพ และมาตรฐานระดับโลก” นายนฤตม์ กล่าว

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (09 ธ.ค. 68)