
นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชนและกรรมาธิการ กล่าวว่าวาระการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มหมวด 15/1 การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ (วาระ 2)ในวันนี้ ตนเข้าใจดีว่าการแก้รัฐธรรมนูญใดๆ จะสำเร็จได้ จำเป็นที่จะต้องได้ฉันทามติจากทุกฝ่าย ส่วนหนึ่งเพราะรัฐธรรมนูญ 2560 กำหนดไว้ว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญใดๆ จะต้องได้เสียงเห็นชอบจากทั้งกึ่งหนึ่งของรัฐสภา ได้เสียงเห็นชอบร้อยละ 20 ของ สส. ฝ่ายค้าน และได้เสียงเห็นชอบ 1 ใน 3 ของ สว.
ดังนั้น แม้รัฐสภามีมติให้ร่างที่ตนและคณะเป็นผู้เสนอ ถูกใช้เป็นร่างหลักในการพิจารณาในชั้นคณะกรรมาธิการ แต่ตนได้พูดตั้งแต่การประชุมครั้งแรกของคณะกรรมาธิการว่าตนพร้อมรับฟังทุกความเห็นต่าง ประเด็นไหนที่พอจะหาจุดกึ่งกลางได้ ก็พร้อมจะรับไว้พิจารณาและยอมรับมติเสียงข้างมากของคณะกรรมาธิการ อย่างไรก็ตาม มาตรา 256/1 นี้ เป็นหนึ่งในไม่กี่มาตราที่ตนจำเป็นต้องขอสงวนความเห็นและยืนยันว่าตน “ไม่เห็นด้วย” กับมติของคณะกรรมาธิการเสียงข้างมาก
มาตรา 256/1 เป็นมาตราที่เป็น “หัวใจ” ของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้เพราะเป็นการกำหนด “โครงสร้าง” ขององค์กรหรือกลไกที่จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หากการประชุมในวันนี้เกิดขึ้นก่อนวันที่ 10 กันยายน 2568 ตนคิดว่าเราคงไม่ต้องเถียงมาตรานี้อย่างหนักเท่าวันนี้ เพราะ ณ เวลานั้น พรรคการเมืองหลักๆ เห็นตรงกันว่ากลไกที่จะมีความชอบธรรมมากที่สุดในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่คือ “ผู้ร่าง” หรือ “สภาร่างรัฐธรรมนูญ” ที่มาจากการเลือกตั้งทางตรง
แต่พอคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 10 กันยายนระบุว่า “รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรงได้” ทุกฝ่ายและทุกพรรคการเมืองจึงต้องเผชิญข้อจำกัดที่มากกว่าเดิม
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของตนและพรรคประชาชน พวกเราได้พยายามออกแบบ “โครงสร้าง” ในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เราเห็นว่าสามารถส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนได้มากที่สุดและใกล้เคียงกับการมีผู้ร่างที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนมากที่สุดโดยไม่ขัดกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ
โครงสร้างที่ว่านี้ มีการแบ่งออกเป็น 2 กลไกที่ทำงานคู่ขนาน คือ (1) กลไกคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ ที่มีหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยให้ประชาชนเลือกมาก่อน 70 คน ก่อนจะส่งให้รัฐสภาคัดเลือกเหลือ 35 คน ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นการเลือกตั้งทางอ้อมรูปแบบหนึ่ง (2) กลไกสภาที่ปรึกษาการร่างรัฐธรรมนูญ ที่มีหน้าที่ในการรับฟังและรวบรวมความเห็นของประชาชนเพื่อมาสะท้อนต่อผู้ร่างรัฐธรรมนูญ โดยให้ประชาชนเลือกตั้งโดยตรง 100 คน ซึ่งเป็นกลไกเดียวในบรรดาทุกร่างและทุกคำสงวนความเห็นที่พยายามคงกลไกการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน
แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าทางคณะกรรมาธิการเสียงข้างมากได้ลงมติ “ไม่เห็นชอบ” กับกลไกดังกล่าว ในส่วนของคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ กรรมาธิการเสียงข้างมากลงมติ “ไม่เห็นชอบ” กับการเปิดให้ประชาชนไปเข้าคูหาเพื่อเลือกผู้ร่างมา 70 คนก่อนส่งต่อให้รัฐสภาคัดเลือกเหลือ 35 คน ในส่วนของสภาที่ปรึกษาการร่างรัฐธรรมนูญ กรรมาธิการเสียงข้างมากลงมติ “ไม่เห็นชอบ” กับการมีสภาที่ปรึกษา 100 คน ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรง และในที่สุดถูกแปลงเปลี่ยนไปเป็นการมีคณะกรรมาธิการรับฟังความเห็นฯ 35 คนแทน
นายพริษฐ์ กล่าวต่อว่า จากการแสดงความเห็นในชั้นคณะกรรมาธิการ ตนเข้าใจว่าเหตุผลหลักที่กรรมาธิการเสียงข้างมากหลายคนตัด 2 กลไกดังกล่าวออก ไม่ใช่เพราะเขาเห็นว่าข้อเสนอของพรรคประชาชนไม่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน แต่เป็นเพราะเขามีความกังวลว่าข้อเสนอของพรรคประชาชนสุ่มเสี่ยงจะขัดกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ วันนี้ตนจึงขอสงวนความเห็นในฐานะกรรมาธิการเสียงข้างน้อยเพื่อยืนยันว่าข้อเสนอของพรรคประชาชนในทั้ง 2 กลไก “ไม่ขัด” กับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ
ในส่วนของ “คณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ” หรือผู้ร่าง ตนยืนยันว่าการให้ประชาชนเลือกมา 70 คนก่อนส่งให้รัฐสภาคัดเหลือ 35 คน ไม่ใช่การ “เลือกตั้งโดยตรง” ที่ศาลรัฐธรรมนูญพยายามห้าม ด้วยเหตุผลต่อไปนี้
(1) เอกสาร “ความมุ่งหมาย” ของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ถูกจัดทำอย่างเป็นทางการโดยผู้ร่างรัฐธรรมนูญ 2560 ก็ระบุไว้ชัดในคำอธิบายของมาตรา 85 ว่าการเลือกตั้งโดยตรงหมายถึงการที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเป็นคนเลือก และ “ชี้ขาด” ว่าใครจะถูกรับเลือก ดังนั้นการที่ประชาชนเลือกผู้ร่างมา 70 คนโดยไม่มีอะไรรับประกันว่าคนไหนบ้างจาก 70 คนนั้นจะถูกคัดเลือกโดยรัฐสภาให้ไปเป็นคณะผู้ร่าง 35 คน จึงไม่เข้าข่ายคำว่า “การเลือกตั้งโดยตรง”
(2) ตนเชื่อว่าเราเข้าใจว่าตรงกันว่าตามรัฐธรรมนูญ 2560 นายกฯ ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยตรง แต่มาจากการคัดเลือกของสภาฯ จากบรรดาแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคที่มี สส. เกิน 25 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 5 ของสภาผู้แทนราษฎร ความจริงแล้วในมิติดังกล่าว ระบบการเลือกนายกฯ จึงไม่ต่างอะไรมากนัก กับระบบการเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญที่ตนและพรรคประชาชนเสนอ
ในการเลือกนายกฯ ประชาชนเดินเข้าคูหาเพื่อเลือก สส. จากพรรคการเมืองต่างๆ โดยผลเลือกตั้งจะเป็นตัวกำหนดว่าสภาจะสามารถลงมติเลือกนายกฯ จากแคนดิเดตนายกฯ คนไหนได้บ้าง เช่นเดียวกันในการเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญตามข้อเสนอของพรรคประชาชน ประชาชนเดินเข้าคูหาเพื่อเลือกผู้ร่างมาเบื้องต้น โดยผลเลือกตั้งจะเป็นตัวกำหนดว่ารัฐสภาจะสามารถคัดเลือกผู้ร่าง 35 คนจากแคนดิเดตหรือผู้สมัครผู้ร่างคนไหนได้บ้าง
ดังนั้นหากเราเห็นตรงกันว่าการเลือกนายกฯ ยังไม่ใช่การเลือกตั้งโดยตรง ตนก็หวังว่าเราจะเห็นตรงกันว่าการเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญตามข้อเสนอของพรรคประชาชน ก็ไม่ใช่การเลือกตั้งโดยตรง และจะไม่ขัดกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเช่นกัน
นายพริษฐ์กล่าวว่า ในส่วนของ “สภาที่ปรึกษาการร่างรัฐธรรมนูญ” ตนยืนยันว่าสภาที่ปรึกษาไม่ใช่ “ผู้ร่างรัฐธรรมนูญ” ที่ศาลรัฐธรรมนูญบอกว่าประชาชนเลือกตั้งโดยตรงไม่ได้ ดังนั้น เราจึงสามารถกำหนดให้ประชาชนเลือกโดยตรงได้ ด้วย 2 เหตุผล
(1) อำนาจหน้าที่ของสภาที่ปรึกษา ถูกเขียนไว้ชัดในมาตรา 256/19 ว่าเป็นเพียงการรับฟังและรวบรวมความเห็นประชาชนโดยไม่มีอำนาจในการลงมติใดๆ ต่อเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ (2) บางคนกังวลใจว่าแม้สภาที่ปรึกษา จะไม่ได้มีอำนาจการลงมติ แต่การกำหนดให้ผู้ร่างต้องรับฟังความเห็นที่สภาที่ปรึกษารวบรวมมา ก็เข้าข่ายการทำให้สภาที่ปรึกษาเป็นส่วนหนึ่งของ “ผู้ร่างรัฐธรรมนูญ” ที่ศาลรัฐธรรมนูญบอกว่ามาจากการเลือกตั้งโดยตรงไม่ได้
ตนเห็นว่าการตีความดังกล่าวเป็นการตีความที่ “เกินเลย” ไป เพราะหากเรายอมรับการตีความเช่นนั้นก็หมายความว่าสมมติเรากำหนดให้ผู้ร่างรัฐธรรมนูญรับฟังความเห็นของนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดทุกจังหวัดเพื่อเข้าใจความเห็นของประชาชนในแต่ละพื้นที่ ก็จะกลายเป็นถูกตีความว่าทำไม่ได้ไปด้วยหรือไม่ เนื่องจากนายก อบจ. ก็มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนเช่นกัน
ดังนั้น ตนยืนยันว่าหากสมาชิกรัฐสภาเห็นว่า 2 กลไกที่พรรคประชาชนเสนอเป็นประโยชน์ต่อการ “ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน” ท่านสามารถลงมติเห็นชอบกับร่างเดิม หรือ ข้อเสนอของกรรมาธิการพรรคประชาชนได้ เพราะข้อเสนอดังกล่าวไม่ขัดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ
อย่างไรก็ตาม ตนเห็นว่าการลงมติของสมาชิกรัฐสภาจะเป็นเครื่องพิสูจน์
หากรัฐสภาลงมติไม่เห็นชอบกับข้อเสนอตน ก็แสดงว่าว่าสมาชิกส่วนใหญ่ตีความคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญไม่เหมือนกับตน แต่หากรัฐสภาลงมติยืนยันตามข้อเสนอตน ก็จะเป็นการยืนยันว่ารัฐสภาแห่งนี้เห็นว่าข้อเสนอตนไม่ขัดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญและพร้อมเดินหน้าต่อในการเพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชนในการเลือกผู้ร่างมาเบื้องต้น และในการเลือกสภาที่ปรึกษาทางตรง ตามแนวทางในร่างของพรรคประชาชน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (10 ธ.ค. 68)





