
นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) ตั้งข้อสังเกตุกรณีกระทรวงคมนาคมเตรียมเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติหลักการซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้าจากภาคเอกชนจำนวน 4 สาย ประกอบด้วย สายสีเขียว สายสีชมพู สายสีเหลือง และสายสีน้ำเงิน มูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาท เพื่อโอนกิจการให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) บริหารจัดการรายเดียว เป็นเรื่องใหญ่และผูกพันงบประมาณมหาศาลที่รัฐบาลชั่วคราวไม่ควรเร่งผลักดัน ทำให้มองว่าอาจมีวาระซ่อนเร้นเรื่องผลประโยชน์ที่จะนำไปใช้ในการเลือกตั้งครั้งต่อไปหรือไม่
“เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ รัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นรัฐบาลชั่วคราว ไม่ควรฟันธงเพื่อนับหนึ่งในการซื้อคืน แต่ควรกางตัวเลขออกสู่สาธารณะเพื่อให้แต่ละพรรคช่วยกันคิดหาทางออก รอให้รัฐบาลหลังการเลือกตั้งที่มีความชอบธรรมเป็นผู้ตัดสินใจ โดยในช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง ควรให้เรื่องนี้เป็นหนึ่งในนโยบายหาเสียง ให้แต่ละพรรคเสนอทางออก แล้วมาถกเถียงกันผ่านเวทีดีเบต ประชาชนจะได้เห็นว่าใครทำเพื่อประชาชนและใครทำเพื่อนายทุน กำหนดกรอบในการถกเถียงอย่างสร้างสรรค์ เช่น แต่ละพรรคจะแก้ปัญหาระบบขนส่งสาธารณะอย่างไร หากจะซื้อคืนรถไฟฟ้าจริงต้องใช้เงินเท่าไหร่ เงินมาจากไหน ทำอย่างไรไม่ให้ต้องเอาเงินจากลูกหลานในอนาคตมาเอื้อประโยชน์ให้นายทุนใหญ่ในปัจจุบัน แล้วให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจผ่านคูหาเลือกตั้ง” นายสุรเชษฐ์ กล่าว
โดยความกังวลดังกล่าวมาจาก 2 เหตุผลหลัก คือ
1.ดีลแสนล้านนี้เอื้อนายทุนใหญ่รถไฟฟ้าหรือไม่ เนื่องจากปัจจุบันสัญญาสัมปทานเป็นลักษณะ PPP Net Cost กล่าวคือเอกชนได้รับสิทธิในการลงทุน ระบบเดินรถและให้บริการเดินรถ พร้อมทั้งเป็นผู้จัดเก็บรายได้ โดยเอกชน “ต้อง” รับความเสี่ยงเรื่องจำนวนผู้โดยสารเอง ซึ่งที่ผ่านมารถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สีเหลือง และสีชมพู ขาดทุนเพราะผู้โดยสารน้อยกว่าที่คาดการณ์ เอกชนจึงอยากขายคืนรัฐอยู่แล้ว เพื่อให้รัฐรับภาระความผิดพลาดจากการคาดการณ์จำนวนผู้โดยสารสูงเกินจริงแทน ขณะที่สายสีเขียว สัญญาสัมปทานจะหมดในปี 2572 และมีปัญหาคดีความอยู่ที่ ป.ป.ช. ดังนั้น การที่รัฐซื้อคืนนอกจากจะส่อไปในทางเอื้อประโยชน์เรื่องราคาที่เหมาะสมแล้ว อาจเป็นการ “ฟอกขาว” แทนที่จะเอาคนผิดมาลงโทษ
2.อย่าจับ “ตั๋วร่วม” เป็นตัวประกัน รัฐบาลอ้างความจำเป็นในการรวมศูนย์การบริหารจัดการระบบรถไฟฟ้าแบบองค์รวม (Single Ownership) ว่าก็เพื่อทำระบบตั๋วร่วม (Common Ticket) แต่ความจริงแล้วรัฐไม่จำเป็นต้องซื้อคืนก็ทำระบบตั๋วร่วมได้ทันที เพราะปัจจุบันมี พ.ร.บ.ตั๋วร่วม ที่ผ่านสภาไปแล้ว รัฐบาลควรเดินตามแนวทางกฎหมายดังกล่าวและเร่งทำกฎหมายลูกออกมาเพื่อทำให้ตั๋วร่วมเกิดขึ้นจริงโดยรถไฟฟ้าทุกสายต้องเข้าร่วม
ทั้งนี้หลักการ Single Ownership ไม่ได้เป็นเรื่องผิดแต่ไม่ควรทำด้วยการซื้อคืน เพราะเป็นการเปิดช่องให้นายทุนใหญ่รถไฟฟ้าเจรจากับนักการเมืองเพื่อเปลี่ยนสัญญารัฐและหากินจากราคาส่วนต่าง คำถามสำคัญที่รัฐบาลต้องตอบหากยืนยันจะเดินหน้าเรื่องนี้คือรัฐบาลจะซื้อคืนที่ราคาเท่าไหร่ ทำไมไม่ทำตามสัญญาที่เซ็นกันไปแล้ว และดีลใหม่ให้ผลประโยชน์แก่เอกชนอย่างไรบ้าง เพราะหากผลประโยชน์ไม่ดีขึ้น มีหรือที่เอกชนจะยอมเซ็น
“หน้าที่ของรัฐบาลคือต้องทำตามสัญญาที่เซ็นกันไปแล้ว ไม่ใช่หาข้ออ้าง เล็งแต่การหาผลประโยชน์เพิ่มจากการเจรจาแก้ไขสัญญาสัมปทาน และเมื่อหมดสัญญาสัมปทานแล้ว ควรเอากลับคืนมาเป็นของรัฐ ไม่ใช่หาเรื่องขยายสัมปทานไปเรื่อย ๆ แบบกรณีสัมปทานทางด่วน” นายสุรเชษฐ์ กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (11 ธ.ค. 68)





