เวเนฯ จำยอมหั่นราคาน้ำมันดิบขายเอเชีย เหตุเจอรัสเซีย-อิหร่านตีตลาด มะกันกดดันทางทหาร

สำนักข่าวต่างประเทศหลายแห่ง รวมถึงสำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า เวเนซุเอลากำลังเผชิญศึกหนักรอบด้านจนต้องยอมลดราคาน้ำมันดิบส่งออกไปเอเชียลงอย่างมาก เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดกับน้ำมันดิบรัสเซียและอิหร่านที่ทะลักเข้ามา อีกทั้งยังต้องชดเชยความเสี่ยงด้านการขนส่งจากการที่สหรัฐฯ เพิ่มกำลังทหารในแถบทะเลแคริบเบียน

สถานการณ์ปัจจุบันทำให้ผู้ซื้อในเอเชีย โดยเฉพาะจีนซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุด มีอำนาจต่อรองสูงมาก เนื่องจากมีน้ำมันราคาถูกจากรัสเซียและอิหร่านที่ติดคว่ำบาตรเช่นกันมาเป็นตัวเลือก

ผู้ค้าน้ำมันระบุว่า พีดีวีเอสเอ (PDVSA) รัฐวิสาหกิจน้ำมันของเวเนซุเอลา จำเป็นต้องหั่นราคาขายลงแบบลดกระหน่ำเพื่อระบายสินค้า โดยส่วนลดราคาน้ำมันดิบเกรดหนักเมื่อเทียบกับน้ำมันดิบเบรนท์ (Brent) ในปัจจุบัน สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 2 เท่า

ข้อมูลจากผู้ค้าระบุตัวเลขว่า แม้จะเสนอส่วนลดถึง 14 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล สำหรับน้ำมันเกรดหลักอย่างเมเรย์ (Merey) แต่ผู้ซื้อชาวจีนก็ยังไม่ค่อยสนใจ ล่าสุดมีการตกลงซื้อขายล่วงหน้าสำหรับต้นปี 2569 โดยให้ส่วนลดสูงถึง 15 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ต่างจากปลายปีที่แล้วที่ส่วนลดอยู่เพียง 5-8 ดอลลาร์เท่านั้น

นอกจากปัญหาราคาตกต่ำ เวเนซุเอลายังเจอปัจจัยซ้ำเติมจากความตึงเครียดทางทหาร เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศเมื่อวันพุธ (10 ธ.ค.) ว่า ทางการสหรัฐฯ ได้ยึดเรือบรรทุกน้ำมันที่เกี่ยวข้องกับเวเนซุเอลา และขู่จะขยายปฏิบัติการทางทหารสู่เป้าหมายบนบก เพิ่มเติมจากการที่กองทัพเรือสหรัฐฯ คอยลาดตระเวนสกัดกั้นยาเสพติดในน่านน้ำแคริบเบียน

ความเสี่ยงนี้ทำให้เจ้าของเรือบรรทุกน้ำมันต้องระบุเงื่อนไขสงคราม (War clauses) ไว้ในสัญญา ซึ่งเปิดช่องให้เรือเลี่ยงเส้นทางอันตราย หรือเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษได้ แหล่งข่าวชี้ว่า แม้เส้นทางสั้น ๆ ไปสหรัฐฯ จะไม่กระทบมาก แต่สำหรับเส้นทางไกลไปเอเชีย ค่าระวางเรือจะแพงขึ้นมหาศาล ทำให้ PDVSA ต้องยอมลดราคาน้ำมันลงอีกเพื่อชดเชยค่าขนส่งส่วนนี้ให้ผู้ซื้อ

แม้จะถูกบีบรอบทิศ แต่ข้อมูลสถิติชี้ว่าเวเนซุเอลายังคงพยายามรักษาระดับการผลิตอย่างสุดความสามารถ โดยเดลซี โรดริเกซ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงน้ำมัน เผยว่ายอดผลิตเดือนพ.ย. ขยับขึ้นเป็น 1.17 ล้านบาร์เรลต่อวัน ส่วนยอดส่งออกแตะระดับ 921,000 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดอันดับสามของปีนี้ และหากมองภาพรวมทั้งปี ปริมาณการส่งออกของเวเนซุเอลาก็ยังขยายตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับระดับในปี 2567

ความอยู่รอดนี้ส่วนหนึ่งมาจากการบริหารจัดการวัตถุดิบ โดยมีการนำเข้าแนฟทาเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่า ซึ่งรวมถึงการนำเข้าจากรัสเซีย เพื่อให้มั่นใจว่ากระบวนการผลิตและส่งออกน้ำมันดิบผสมจะดำเนินต่อไปได้ ขณะเดียวกัน เชฟรอน (Chevron) พันธมิตรรายสำคัญ ก็ได้เพิ่มยอดส่งออกน้ำมันกลับไปสหรัฐฯ เป็น 1.5 แสนบาร์เรลต่อวันในเดือนที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ปริมาณขายที่มากขึ้นอาจไม่ได้หมายถึงเม็ดเงินที่เพิ่มขึ้นตามสัดส่วน เพราะต้องแลกมาด้วยการลดราคาอย่างหนัก ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวลสำหรับประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร ที่จำเป็นต้องใช้รายได้จากน้ำมันมาพยุงโครงการประชานิยม ลดความวุ่นวายภายใน และรับมือกับแรงกดดันทางการเมืองหลังการเลือกตั้งที่มีปัญหาเมื่อปีก่อน

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (11 ธ.ค. 68)