TTB ชี้ ศก.ไทยปี 69 โตต่ำสุดในรอบ 5 ปี ปัจจัยหนุนแผ่ว-ปัจจัยเสี่ยงรายล้อม

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี (ttb analytics) ประเมินเศรษฐกิจปี 2569 ขยายตัว 1.6% ชะลอลงจากปี 2568 ที่คาดว่าจะขยายตัว 2% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตต่ำสุดในรอบ 5 ปี จากการชะลอตัวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2568 จนถึงครึ่งแรกของปี 2569 ซึ่งแม้ว่าผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยจากการขึ้นภาษีนำเข้าศุลกากรของสหรัฐฯ จะไม่รุนแรงอย่างที่เคยประเมินไว้ แต่ปัจจัยชั่วคราว ที่เคยช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจจากการเร่งส่งออกสินค้า ซึ่งส่งผลบวกต่อกิจกรรมในภาคส่งออก และภาคอุตสาหกรรมจะทยอยหมดลง ขณะที่แรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่เคยผลักดันเศรษฐกิจในอดีตก็มีข้อจำกัดในการเติบโต และยังไม่มีตัวไหนเป็นเครื่องยนต์ของเศรษฐกิจอย่างแท้จริง

โดยปัจจัยฉุดรั้งที่สำคัญในปี 2569 ไม่ว่าจะเป็นการชะลอตัวของภาคส่งออก จากหลายสาเหตุ ได้แก่

(1) ผลของการเร่งตัวผิดปกติในช่วงต้น (Front-loading) ในการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ในปีที่ผ่านมา จึงทำให้ปริมาณสต็อกสินค้าในต่างประเทศค่อนข้างสูง

(2) การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และสหรัฐฯ จากผลกระทบของภาษีทรัมป์ ที่จะเห็นชัดเจนขึ้นในปี 2569 และความกังวลจากภาวะฟองสบู่ในการลงทุนด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)

(3) ความเสี่ยงจากการถูกตั้งกำแพงภาษีเพิ่มเติม ภายใต้ข้อกฎหมายการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งจะครอบคลุมกลุ่มสินค้าที่มีความเสี่ยงจะถูกสวมสิทธิ (Transshipment Risk) และสินค้าที่สำคัญในเชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ (Strategic Products)

(4) การแข่งขันในสินค้าส่งออกของไทยในตลาดสหรัฐฯ และตลาดหลักอื่นที่จะมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น จากความเสียเปรียบด้านราคา โดยเป็นผลพวงหลังสหรัฐฯ และจีนบรรลุข้อตกลงร่วมกันในการลดอัตราภาษีสูงเป็นระยะเวลา 1 ปี อีกทั้งจีนยังมีแนวโน้มกระจายการส่งออกไปยังประเทศอื่นมากขึ้น จากกำลังการผลิตที่อยู่ในระดับสูง

 

  • การเมืองไม่แน่นอน เสี่ยงกระทบจัดทำงบปี 70 ล่าช้า

ttb analytics ประเมินว่า การใช้จ่ายภาครัฐ มีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางการเมือง แม้มีการส่งสัญญาณเลือกตั้งใหม่ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2569 แต่ความไม่แน่นอนทางการเมือง คาดว่าจะยังคงอยู่ และอาจส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเมืองในระยะต่อไป ซึ่งนอกจากจะกระทบต่อการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และโครงการภาครัฐจำนวนมากในปีงบประมาณ 2569 แล้ว ยังอาจส่งผลให้การจัดทำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 มีความเสี่ยงที่จะล่าช้าออกไปจากช่วงเวลาปกติ

นอกจากนี้ ข้อจำกัดด้านงบประมาณ และความพยายามลดการขาดดุลทางการคลัง จะทำให้พื้นที่ทางการคลังที่เหลืออยู่ ถูกดึงไปใช้แก้ไขปัญหาแบบเฉพาะเจาะจง เพื่อประคองภาพเศรษฐกิจโดยรวมมากกว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่

การบริโภคภาคเอกชน มีข้อจำกัดในการเติบโตมากขึ้น ส่วนหนึ่งจากเม็ดเงินกระตุ้นการจับจ่าย ถูกดึงมาใช้ตั้งแต่ปลายปี 2568 มาจนถึงต้นปี 2569 และอาจส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อประชาชน และเม็ดเงินที่จะนำมาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี นอกจากนี้ ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังคงสูงเกินกว่า 80% ของจีดีพีมาเป็นระยะเวลายาวนานมากกว่า 10 ปี จะยังคงบั่นทอนกำลังซื้อของประชาชนต่อไป ซึ่งจะส่งผลให้แรงซื้อในหมวดสินค้าคงทน (เช่น รถยนต์และที่อยู่อาศัย) อาจยังไม่สามารถกลับสู่ระดับเดิมเหมือนในอดีต

 

  • คาด กนง.สัปดาห์หน้า ลดดอกเบี้ย 0.25%

ในด้านเสถียรภาพทางการเงิน ttb analytics ประเมินว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% ในรอบการประชุมเดือนธันวาคมสู่ระดับ 1.25% ณ สิ้นปี 2568 พร้อมกับการปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อลงในปี 2568-2569

มองไปข้างหน้า ttb analytics ประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จะปรับลดลงอยู่ที่ 0.75-1% ณ สิ้นปี 2569 ซึ่งจะเป็นการปรับนโยบายทางการเงินให้มีความสมดุล (Recalibration) และสอดคล้องกับการเติบโตของเศรษฐกิจที่ชะลอลงในหลายภาคส่วน จากเศรษฐกิจในระยะข้างหน้าที่มีแนวโน้มเติบโตต่ำลง อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปีคาดว่าจะอยู่ต่ำกว่ากรอบล่างเป้าหมายต่อไป

นอกจากนี้ การผ่อนคลายนโยบายการเงินอย่างต่อเนื่อง จะมีส่วนช่วยบรรเทาภาระหนี้แก่ภาคครัวเรือนและ SMEs ควบคู่ไปกับมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้แบบเฉพาะเจาะจงอื่น ๆ เช่น โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” โครงการ “ปิดหนี้ไว ไปต่อได้” เป็นต้น

 

  • แนวโน้มเงินบาท H1/69 ยังแข็งค่า

สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาทในปี 2569 คาดว่าเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐ มีทิศทางแข็งค่าขึ้นได้บ้างในช่วงครึ่งแรกของปี ตามการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ จากวัฏจักรดอกเบี้ยขาลงต่อเนื่องตลอดทั้งปี ความกังวลเกี่ยวกับความเป็นอิสระของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) รวมถึงปัจจัยเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ และวินัยทางการคลังของสหรัฐฯ

อย่างไรก็ดี แนวโน้มการแข็งค่าของเงินบาท อาจมีค่อนข้างจำกัดจากความเปราะบางด้านปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจ ความไม่แน่นอนทางการเมือง ตลอดจนความสัมพันธ์ระหว่างค่าเงินบาทกับราคาทองคำในตลาดโลกที่ลดลงอย่างมีนัย โดยเฉพาะหลังจากที่ภาครัฐ และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ส่งสัญญาณเข้ามากำกับดูแลธุรกรรมทองคำอย่างใกล้ชิด ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงให้เงินบาทมีจังหวะผันผวน และอ่อนค่าได้เพิ่มเติมในปีหน้า

 

  • “ท่องเที่ยว-ลงทุน” ยังเป็นความหวังหลัก แต่เพดานฟื้นตัวเริ่มจำกัด

ภาคท่องเที่ยวจะยังคงเป็นตัวแปรที่สำคัญ แต่เริ่มมีข้อจำกัดมากขึ้น โดย ttb analytics คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2569 จะอยู่ที่ประมาณ 34.5 ล้านคน หรือเติบโต 4.5% จากปีนี้ จากตลาดนักท่องเที่ยวในกลุ่มอินเดีย รัสเซีย และยุโรปที่คาดว่าจะยังขยายตัวได้ สวนทางกับตลาดนักท่องเที่ยวหลัก (อาทิ จีน อาเซียน และเกาหลีใต้) ที่ยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ ส่วนหนึ่งจากความสามารถในการดึงดูดการท่องเที่ยวของไทยลดลงเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน

นอกจากนี้ มิติของรายได้จากการท่องเที่ยว คาดว่าจะเติบโตเพียง 4% โดยค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนต่อทริปยังต่ำกว่าปี 2562 จากปัจจัยด้านเศรษฐกิจ และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของนักท่องเที่ยว ยิ่งกว่านั้น รายได้จากนักท่องเที่ยวที่ไม่ได้เพิ่มขึ้นตามสัดส่วนเดียวกับจำนวนนักท่องเที่ยว ข้อจำกัดของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ จากภาคบริการที่กระจุกอยู่ในพื้นที่เศรษฐกิจเมือง และภูมิภาคท่องเที่ยวหลัก เป็นจุดสะท้อนเพดานการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวที่จำกัดลงได้อย่างชัดเจน

 

  • น้ำท่วมใต้ คาดกระทบกิจกรรมทางเศรษฐกิจ 1.4-2.7 หมื่นลบ.

ทั้งนี้ จากสถานการณ์อุทกภัยอย่างฉับพลันในพื้นที่ภาคใต้ ในช่วงเดือนพ.ย.-ธ.ค.ที่ผ่านมา ttb analytics ประเมินความเสียหายต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับการค้า และการท่องเที่ยว จะอยู่ที่ราว 1.4-2.7 หมื่นล้านบาทหรือ 0.07-0.14% ต่อจีดีพี ภายใต้กรอบระยะเวลาที่ได้รับผลกระทบและการฟื้นฟูเศรษฐกิจ 1 ไตรมาส (ซึ่งความเสียหายส่วนใหญ่อยู่ในช่วงเดือนธ.ค.68)

อีกทั้งยังกระทบต่อรายได้ของภาคธุรกิจทั้งหมดในพื้นที่น้ำท่วม ราว 8.2 แสนล้านบาท ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ศูนย์กลางการค้า และการท่องเที่ยวหลักของหลายอำเภอในจังหวัดสงขลาช่วงเทศกาลท่องเที่ยว อีกทั้งยังส่งผลทางอ้อมต่อการตั้งเป้าหมายเม็ดเงินที่จะหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจในช่วงที่มีการจัดงานซีเกมส์ในสนามหลายแห่งในเมืองสงขลา และหาดใหญ่ โดยเฉพาะการเดินทางเข้ามาของนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย ซึ่งคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดที่มาเยือนจังหวัดสงขลา

 

  • ต่างชาติเน้นลงทุนเทคโนฯ ขั้นสูง แรงกระเพื่อมต่อศก.ไทยมีผลจำกัด

สำหรับมิติของการลงทุนจากต่างชาติ ยังมีความท้าทายสูง แม้ที่ผ่านมา ความต้องการลงทุนจากต่างชาติเพิ่มขึ้นอย่างมีนัย สะท้อนจากมูลค่าการขอรับส่งเสริมการลงทุน (BOI) ในปี 2567 และ 9 เดือนแรกของปี 2568 ที่แตะระดับ 1 ล้านล้านบาทอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในรอบหลายปี และเติบโตอย่างมีนัยเมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด-19

แต่รูปแบบความต้องการลงทุน กลับไม่ได้กระจายไปสู่กลุ่มอุตสาหกรรมดั้งเดิมที่มีห่วงโซ่การผลิตยาว หรืออุตสาหกรรมที่เน้นการผลิตจำนวนมาก (Mass Production) ซึ่งสามารถสร้างแรงกระเพื่อมต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และการจ้างงานในวงกว้างอย่างที่เคยเป็นมา (เช่น ปิโตรเคมี การผลิตยานยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน เครื่องใช้ไฟฟ้า) แต่กลับมุ่งเป้าลงทุนในอุตสาหกรรมกลุ่มเทคโนโลยีขั้นสูง และอุตสาหกรรมดิจิทัล ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมการให้บริการด้านเทคโนโลยี ที่ยังมีห่วงโซ่การผลิตในประเทศค่อนข้างสั้น อาทิ ศูนย์ข้อมูล (Data Center) โครงสร้างพื้นฐานด้านคลาวด์ (Cloud Infrastructure) และ AI เป็นต้น

โจทย์ท้าทายที่สำคัญของประเทศไทย คือ การยกระดับห่วงโซ่การผลิตอุตสาหกรรมดั้งเดิม ให้เชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมโลก ผ่านการเพิ่มกฎเกณฑ์ด้านถิ่นกำเนิด (Local Content / RVC) เพื่อสร้างแรงจูงใจการสร้างมูลค่าเพิ่มทั้งระบบห่วงโซ่การผลิต (System-level Incentive) รวมถึงการเปลี่ยน “มูลค่าการขอรับการสนับสนุนการลงทุนอุตสาหกรรมใหม่” ให้กลายเป็น “มูลค่าการลงทุนจริง” ภายในระยะ 1-3 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะการสร้างความพร้อมด้านทักษะแรงงาน ความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน และความชัดเจนด้านนโยบายภาษี และกฎระเบียบในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ

“ปี 2569 ถือเป็นปีที่เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับความจริงมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา การเติบโตของเศรษฐกิจในระดับ 2% ต่อปี จะกลายเป็นภาพสะท้อนของดุลยภาพใหม่ ในยุคที่เศรษฐกิจโตช้าลง (A New Balance of Lower Growth) ซึ่งสะท้อนความเปราะบางของปัจจัยเชิงโครงสร้าง ภาระหนี้สูงรอบด้าน และแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่กระจุกตัวในบางภาคส่วนในรูปแบบ K-Shape ที่รุนแรงมากขึ้น” บทวิเคราะห์ ระบุ

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (11 ธ.ค. 68)