
การประกาศโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน (Treasury Stock) ของ บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล [MINT] ที่มีการเปลี่ยนแปลง ปริมาณวงเงินซื้อคืน จาก ไม่เกิน 500 ล้านบาท เป็นไม่เกิน 5,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 10 เท่า โดยมีระยะห่างการแจ้งเพียงแค่ 8 วันทำการเท่านั้น
โดยทั่วไปแล้ว ส่วนใหญ่มองว่าการซื้อหุ้นคืนเป็นเรื่องดี และเป็นมุมบวกที่บริษัทได้เพิ่มเงินอัดฉีดแบบกะทันหัน หรือ ในช่วงเวลาอันสั้น
สำหรับข้อดีของการซื้อหุ้นคืน
1.เพิ่มมูลค่ากำไรต่อหุ้น (EPS)
การซื้อหุ้นคืน ทำให้ จำนวนหุ้นลดลง กำไรต่อหุ้น (EPS) จะเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ
2.ส่งสัญญาณความมั่นใจจากบริษัท
ตลาดมักตีความว่า ผู้บริหารเชื่อว่าหุ้น ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง การซื้อหุ้นคืน จะช่วยเสริมความเชื่อมั่นนักลงทุน โดยเฉพาะช่วงตลาดผันผวน
3.พยุงราคาหุ้นไม่ให้เกิดความผันผวนระยะสั้น
เนื่องจาก บริษัทจะกลายเป็น “ผู้ซื้อรายใหญ่” ในตลาด หรือจะเรียกว่าเป็นเจ้ามือที่มีออร์เดอร์ซื้อหุ้นอยู่ในมือ จะสามารถลดแรงขาย และช่วยลดความผันผวนของราคาได้
4.การใช้เงินสดส่วนเกินอย่างมีประสิทธิภาพ
บางบริษัทมีกระแสเงินสดล้น การซื้อหุ้นคืนถือเป็นการบริหารเงินสดที่ดี ดีกว่าปล่อยเงินสดไว้เฉย ๆ ที่ให้ผลตอบแทนต่ำ และเป็นอีกทางเลือกหนึ่งแทนการจ่ายเงินปันผลได้ เพราะสองสิ่งดังกล่าว จะเข้าโดยตรงกับผู้ถือหุ้นทุกคน
5. เพิ่มผลตอบแทนผู้ถือหุ้นแบบยืดหยุ่น
การซื้อหุ้นคืนมีความต่างจากการจ่ายเงินปันผลที่ตลาดคาดหวังความสม่ำเสมอ เนื่องจากไม่ได้รับเป็นเงินสด เหมือนอย่างการจ่ายปันผลแต่ถือว่าราคาหุ้นโดยรวมจะต้องดีกว่าไม่มีการซื้อคืน
แต่สำหรับลำดับเหตุการณ์การประกาศซื้อหุ้นคืนของ MINT มี 2 ช่วงดังนี้
ครั้งแรก ประกาศเมื่อวันที่ 28 พ.ย.2568 ให้ซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 23 ล้านหุ้น (ประมาณ 0.41% ของหุ้นทั้งหมด) วงเงินไม่เกิน 500 ล้านบาท โดยมีเหตุผล เพื่อบริหารเงินและเพิ่มค่า ROE & EPS และสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน โดยซื้อผ่านระบบจับคู่อัตโนมัติตั้งแต่ 3 ธ.ค. 2568-2 มิ.ย.2569
ครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 11 ธ.ค.2568 ผ่านมา 8 วันทำการ ประกาศปรับเพิ่มวงเงินซื้อหุ้นคืน เป็น 5,000 ล้านบาท
โดยมีการแจ้งล่าสุดวันที่ 12 ธ.ค.2568 เรื่องบอร์ดอนุมัติขยายโครงการซื้อหุ้นคืน จากเดิม 500 ล้านบาท เป็น 5,000 ล้านบาท และเพิ่มจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนเป็น 229 ล้านหุ้น (4.04% ของหุ้นทั้งหมด) โดยยังใช้วิธีซื้อแบบเดิมและช่วงเวลาเดียวกัน
โดยครั้งที่สอง เป็นการ “แก้ไขขอบเขต” ของโครงการเดียวกันให้ใหญ่ขึ้นมากกว่าเดิม

ราคาหุ้น MINT หลังข่าวซื้อหุ้นคืน
หลัง MINT ประกาศโครงการซื้อหุ้นคืน วงเงินไม่เกิน 500 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นจำนวนที่น้อยมาก เมื่อเทียบกับมาร์เก็ตแคปของบริษัทที่อยู่ระดับ 1.3-1.4 แสนล้านบาท และเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับ มูลค่าการซื้อขายรายวันที่เฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 300-500 ล้านบาทต่อวัน
ลำพังแค่ ปริมาณการซื้อขายวันเดียว ของการซื้อหุ้นคืนครั้งแรก 500 ล้านบาทก็สามารถ matching กันครบได้อย่างง่ายดาย
ในช่วงที่มีการประกาศ (ครั้งแรก) ซื้อหุ้นคืนวงเงินไม่เกิน 500 ล้านบาท ราคาก็ปรับตัวขึ้นมาบ้างตามข่าวดี
แต่สิ่งที่น่าสนใจ คือ ในวันที่ 8 ธ.ค.หลังประกาศไปแล้วหลายวัน วอลุ่มเทรด และ การปรับตัวบวก +1.50 บาท (+6.67%) พร้อมกับมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่นพุ่งเป็น 1,759 ล้านบาท สูงสุดในรอบ 3 ปี
อะไรคือ สาเหตุที่ทำให้มูลค่าการซื้อขายสูงสุดในรอบ 37 เดือน และราคาหุ้นบวกแรงสวนภาวะตลาด ทั้งที่ SET Index ณ วันที่ 8 ธ.ค. ดัชนีปรับตัวลดลง -12.38 จุด (-0.97%)
ผู้เขียน ไม่ได้บอกว่าสาเหตุที่หุ้น MINT พุ่งแรงเฉพาะแค่วันนั้น เกิดจากสาเหตุใด เนื่องจากในวันนั้นเราไม่สามารถหาต้นตอของข่าวดีที่ทำให้หุ้น MINT ปรับตัวสวนภาวะตลาดที่ร่วงหนักได้เลย
การจะมาอธิบาย หรือ หาเหตุผลของราคาหุ้นที่พุ่งขึ้นมา (8 ธ.ค.) เป็นเพราะนักลงทุนมองว่าการซื้อหุ้นคืนจะช่วยทำให้ราคาปรับตัวขึ้นก็สามารถนำมากล่าวอ้างได้ แต่การจะเอาปริมาณวงเงินซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 500 ล้านบาท มาเทียบก็ไม่น่าจะทำให้เกิดแรงจูงใจจนเกิดแรงซื้อหุ้นที่มีวอลุ่มเทรดสูงสุดแบบนี้
การซื้อหุ้นคืน ถือเป็นเครื่องมือทั่วไปที่บริษัทจดทะเบียนใช้เพื่อ “สนับสนุนราคาหุ้น” และปรับโครงสร้างเงินทุน ไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมายหรือผิดกฎเกณฑ์ตลาดหลักทรัพย์ฯ
โดยโครงการซื้อหุ้นคืนต้องประกาศต่อผู้ถือหุ้นและรับทราบผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯอย่างพร้อมเพรียงกัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบ ในการเข้าถึงข้อมูลของนักลงทุนในตลาดหุ้น
แต่เนื่องจากการปรับวงเงินเพิ่มขึ้น 10 เท่าในระยะเวลาห่างกันเพียง 8 วันนั้นดูเป็นความสอดคล้องอย่างน่าอัศจรรย์เท่านั้นเอง
ธิติ ภัทรยลรดี
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (12 ธ.ค. 68)




