
น.ส.พีรจิต ปัทมสูต ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายคุ้มครองและตรวจสอบบริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า หลังจากที่ ธปท.ได้ออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจการให้เช่าซื้อ และการให้เช่าแบบลีสซิ่งรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ (พ.ร.ฎ.เช่าซื้อฯ) ให้มาอยู่ภายใต้การกำกับ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.ที่ผ่านมา เพื่อยกระดับการให้บริการทางการเงินของผู้ประกอบธุรกิจให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน และประชาชนได้บริการที่เป็นธรรม รวมถึง ธปท. สามารถมีข้อมูลหนี้ครัวเรือนที่ชัดเจนมากขึ้นแล้วนั้น
ในเบื้องต้น ธปท. กำหนดให้ผู้ประกอบการ เข้ามารายงานตัวภายในวันที่ 31 มี.ค.69 โดยปัจจุบัน จากผู้ประกอบการราว 3,000 ราย พบว่า มีผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีขนาดสินเชื่อคงค้าง 5,000 ล้านบาท เข้ามารายงานตัวแล้วเกือบทั้งหมด ขาดเพียง 2 ราย ส่วนผู้ประกอบการรายกลางที่มียอดสินเชื่อคงค้างมากกว่า 1,000 ล้านบาท เข้ามารายงานตัวเกินครึ่งแล้ว ส่วนผู้ประกอบการรายเล็ก ยังทยอยเข้ามารายงานตัว
ทั้งนี้ หากนับรวมรายใหญ่ และรายกลาง จะมีขนาดยอดสินเชื่อคงค้างรวมประมาณ 90% ของยอดสินเชื่อคงค้างที่มีอยู่ราว 1.56 ล้านล้านบาท
อย่างไรก็ดี ภายในเดือนม.ค.69 ธปท.จะส่งหนังสือไปถึงผู้ประกอบการที่ยังไม่ได้เข้ามารายงานตัว เพื่อย้ำให้เข้ามารายงานตัว ซึ่งหากไม่มารายงานตัวจะมีบทลงโทษ ทั้งจำและปรับ
“เดิมเราไม่ได้ดูแลกำกับธุรกิจเช่าซื้อและลีสซิ่ง แต่มีข้อร้องเรียนมายัง ธปท.ต่อเนื่อง และจากยอดคงค้างในระบบที่มีสูงถึง 1.56 ล้านล้านบาท ธปท.จึงต้องการให้การบริการเป็นธรรมกับผู้บริโภค แต่การกำกับ จะต้องไม่กระทบผู้ประกอบการ และส่งผลไปยังผู้บริโภค จึงได้ทำ Focus Group หลายรอบ และเปิด hearing จนเป็นหลักเกณฑ์ออกมา และมีผลบังคับตั้งแต่ 3 ธ.ค.68 ที่ผ่านมา” น.ส.พีรจิต ระบุ
- เปิด 5 หลักเกณฑ์กำกับธุรกิจเช่าซื้อ-ลีสซิ่งฯ
สำหรับเกณฑ์การกำกับธุรกิจเช่าซื้อ และลีสซิ่งรถยนต์และจักรยานยนต์เบื้องต้น จะเป็นเกณฑ์การกับเดียวกันทั้งหมดทั้งผู้ประกอบการรายใหญ่ รายกลาง และรายเล็ก โดยจะมีเกณฑ์การกำกับใน 5 เรื่อง ดังนี้
1. การปฏิบัติเกี่ยวกับการเรียกเก็บ และการเปิดเผยข้อมูลดอกเบี้ย ค่าบริการ และเบี้ยปรับ
– เรียกเก็บอย่างเป็นธรรม ไม่เอาเปรียบลูกค้า ไม่ซ้ำซ้อน คำนึงถึงต้นทุนที่เกิดขึ้นจริง
– เพดานอัตราดอกเบี้ย : รถยนต์ใหม่ไม่เกิน 10% ต่อปี และรถยนต์ใช้แล้ว ไม่เกิน 15% ต่อปี และรถจักรยานยนต์ 23% ต่อปี
– ค่าบริการที่เรียกเก็บได้ เฉพาะรายการที่ ธปท.กำหนด เช่น ค่าเบี้ยประกัน
2. ดอกเบี้ยผิดนัด และลำดับการตัดชำระหนี้
– ไม่เกิน 5% บนค่างวดที่ค้างชำระ (ค่างวด ประกอบด้วย เงินต้น ดอกเบี้ย และภาษีมูลค่าเพิ่ม)
– ตัดค่าบริการ ดอกเบี้ย และเงินต้นของงวดที่ค้างนานที่สุดก่อน
3. การปิดปัญชีก่อนกำหนด
– ระบุเงื่อนไขการปิดบัญชีก่อนกำหนดทุกกรณีในสัญญา และแจ้งลูกค้าทราบอย่างชัดเจน
– ปิดโปะ : ได้รับส่วนลดดอกเบี้ยที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระ โดยขึ้นกับค่าเงินที่จ่ายมาแล้ว
– ยึดรถ : ผู้ประกอบธุรกิจคืนส่วนเกินลูกค้า/ ลูกค้ารับผิดในส่วนที่ขาด ทั้งนี้ ขึ้นกับราคาขายและมูลหนี้ส่วนที่ขาด
4. การให้บริการทางการเงินอย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม
– ให้ความสำคัญกับการให้บริการอย่างเป็นธรรม
– ราคาและเงื่อนไขที่เป็นธรรม
– โฆษณาถูกต้อง ครบถ้วน ชัดเจน
– เสนอขายด้วยข้อมูลที่ครบถ้วน
– เสนอปรับโครงสร้างหนี้ก่อนเป็นหนี้เสีย 1 ครั้ง และหลังเป็นหนี้เสียอีก 1 ครั้ง
– แจ้งสิทธิและข้อมูลสำคัญในการดำเนินการทางกฎหมาย
– ดูแลข้อมูลลูกค้าให้ปลอดภัย
– จัดการเรื่องร้องเรียนรวดเร็ว
5. การใช้บริการจากผู้ให้บริการภายนอก
– ใช้บริการจากผู้ให้บริการภายนอกที่มีความน่าเชื่อถือ และรับผิดชอบต่อผู้บริโภค เช่น งานด้านโฆษณา งานติดตามทวงถามหนี้
- ขอบเขตและวันบังคับใช้หลักเกณฑ์ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม
กลุ่มแรก หลักเกณฑ์ที่มีผลบังคับใช้กับสัญญาใหม่ทันที ตั้งแต่วันที่ 3 ธ.ค.68 ประกอบด้วย
– เพดานอัตราดอกเบี้ย รถยนต์ใหม่ไม่เกิน 10% ต่อปี และรถยนต์ใช้แล้ว ไม่เกิน 15% ต่อปี และรถจักรยานยนต์ 23% ต่อปี
– การคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ และการได้รับส่วนลดการปิดบัญชีก่อนกำหนด สำหรับการให้เช่าซื้อแก่บุคคลธรรมดาเพื่อใช้ส่วนตัว
กลุ่มที่สอง หลักเกณฑ์ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.69 ประกอบด้วย
– หลักเกณฑ์ต่าง ๆ ทั้งเรื่องการปฏิบัติและการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับดอกเบี้ย ค่าบริการ และเบี้ยปรับ
– ประเภทของค่าบริการที่เรียกเก็บได้
– ลำดับการตัดชำระหนี้
– การระบุเงื่อนไขเกี่ยวกับการปิดบัญชี/ยกเลิกสัญญาก่อนกำหนด
– การให้บริการทางการเงินอย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม
– การใช้บริการจากผู้ให้บริการภายนอกที่มีความน่าเชื่อถือ
อย่างไรก็ดี ภายหลังจากในปี 2569 ธปท. จะมีข้อมูลที่มากขึ้นจากผู้ประกอบการมากขึ้น เกณฑ์การกำกับจะมีสัดส่วนตามความเสี่ยงของขนาดธุรกิจ เนื่องจากรายเล็กไม่สามารถกำกับเข้มข้นได้ ขณะเดียวกัน ภายในปี 2570 คาดว่าจะมีการทบทวนเรื่องของอัตราดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ เพิ่มเติม เพื่อให้สะท้อนต้นทุนผู้ประกอบการ ช่วยให้ผู้บริโภค และประชาชนได้รับบริการที่เป็นธรรม
ดังนั้น ธปท.เชื่อว่าผู้บริโภคและประชาชนจะได้รับบริการที่เป็นธรรมมากขึ้น ทั้งในเงื่อนไขการชำระหนี้ ดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียม รวมถึงได้ข้อมูลครบถ้วน และมีเอกสารชัดเจน ตลอดจนหากลูกค้ามีปัญหา จะมีโอกาสได้รับการช่วยเหลือในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้
“หลายคนกังวลว่า หลังจากธปท.เข้ามากำกับ จะทำให้เข้าถึงสินเชื่อยากขึ้น เพราะผู้ประกอบการจะปล่อยกู้ยากขึ้น และเข้มงวดนั้น ซึ่งธปท.ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ค่อนข้างมาก แต่เชื่อว่าผู้ประกอบการจะดูหลักฐานเอกสารรายได้ หากผู้กู้มีความพร้อม ก็จะได้รับสินเชื่อ…เรื่องนี้ธปท.ไม่ได้ต้องการให้เกณฑ์การกำกับ เข้ามากระทบจนหยุดการปล่อยสินเชื่อ เราดูรอบด้าน ทั้งการเข้าถึงสินเชื่อของลูกค้า และการ Transition ของผู้ประกอบการ” น.ส.พีรจิต กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (16 ธ.ค. 68)





