
นายวชิร คูณทวีเทพ ผู้อำนวยการสถาบันยุทธศาสตร์การค้า มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า เทรนด์ธุรกิจปี 69 คือ ESG, Health และ Digital
โดย 10 อันดับธุรกิจดาวรุ่งปี 69 ได้แก่
*อันดับ 1
– ธุรกิจ Cloud Service และธุรกิจบริการ Cyber Security :
ปัจจัยสนับสนุน มาจาก 1) การเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย ทำให้ต้องใช้ธุรกรรมผ่าน Internet มากขึ้นเป็นโอกาสให้ธุรกิจ Cloud Service เติบโต 2) เกิดภัยคุกคามทางไซเบอร์มากขึ้น 3) เมกะเทรนด์ของธุรกิจในอนาคต มีการใช้เทคโนโลยี AI และ IoT มากขึ้น และมีการปรับเปลี่ยนสู่ระบบ Smart Solutions มากขึ้น 4) กฎหมาย PDPA ปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล ทำให้องค์กรต้องเพิ่มมาตรการการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลให้แน่นหนามากยิ่งขึ้น
– ธุรกิจ Social Media และ Online Entertainment :
ปัจจัยสนับสนุน มาจาก 1) การบริโภคสื่อดิจิทัลมีมากขึ้น ทำให้มีช่องทางสร้างรายได้และเข้าถึงผู้ติดตามได้ง่าย 2) การเติบโตของการขายของผ่านการไลฟ์สดและการรีวิวสินค้าออนไลน์ 3) การพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล พร้อมกับการพัฒนาเครือข่ายอินเทอร์เน็ตและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล 4) การใช้สมาร์ทโฟนในปัจจุบันเพื่อเข้าถึงเครือข่ายสังคมออนไลน์ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง 5) การเติบโตของยอดขายสินค้าข้ามพรมแดนและขอบเขตของตลาดการค้าที่มีมากกว่าตลาดภายในประเทศ
*อันดับ 2
– ธุรกิจจัดทำคอนเทนต์ ธุรกิจ YouTuber การรีวิวสินค้า และ Influencer :
ปัจจัยสนับสนุน มาจาก 1) แพลตฟอร์มต่าง ๆ ให้ความสำคัญกับวิดีโอสั้น 2) การเติบโตของการบริโภคสื่อแนวตั้ง 3) สามารถสร้างรายได้จากหลายช่องทางพร้อมกัน 4) การใช้เครื่องมือ AI ช่วยในการสร้างผลงาน ทำให้ Content Creator ประหยัดเวลาและลดต้นทุน 5) แบรนด์ต่าง ๆ หันมาให้ความสำคัญกับกลุ่ม Micro Influencer ซึ่งเป็นโอกาสสำหรับ Creator ที่มีฐานแฟนที่ภักดีและมีกำลังซื้อสูง
– ธุรกิจโทรคมนาคมสื่อสาร เช่น ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต หรือสัญญาณสื่อสารต่าง ๆ :
ปัจจัยสนับสนุน มาจาก 1) การขยายตัวของบริการดิจิทัลและดิจิทัลคอนเทนต์ รวมถึงเทคโนโลยี 5G มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง 2) กระแส Digital Transformation ของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องจัดการข้อมูลปริมาณมาก ทำให้มีความต้องการใช้คลาวด์ เซิร์ฟเวอร์ และระบบสื่อสารที่มีความปลอดภัยสูง 3) ธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยี AI และระบบ Automation มีความนิยมมากขึ้นในหลายภาคส่วนทางเศรษฐกิจ 4) ผู้ประกอบการภาคเอกชนมีแนวโน้มลงทุนขยายโครงข่ายและพัฒนาการบริการเพื่อตอบสนองฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้น
– ธุรกิจนายหน้าออนไลน์ ขายสินค้า :
ปัจจัยสนับสนุน มาจาก 1) การเติบโตอย่างต่อเนื่องของ Platform Social Commerce โดยเฉพาะ TikTok Shop และ Shopee Live 2) เป็นธุรกิจที่มีต้นทุนต่ำและไม่ต้องมีภาระในการสต๊อกสินค้า 3) ยอดการติดตามที่สูง ทำให้ธุรกิจสามารถนำเสนอสินค้าต่าง ๆ ได้ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค 4) มีสินค้าที่หลากหลาย และมีความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ที่ต้องการขายตามกระแส
*อันดับ 3
– ธุรกิจ E-commerce (ธุรกิจที่ทำการซื้อขายผ่านอิเล็กทรอนิกส์) :
ปัจจัยสนับสนุน มาจาก 1) แนวโน้มนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและเพิ่มกำลังซื้อของผู้บริโภค 2) โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่แข็งแกร่ง ระบบโลจิสติกส์และระบบชำระเงินออนไลน์ในปัจจุบันมีความสะดวกและมีประสิทธิภาพสูงขึ้นมาก 3) ตลาดต่างจังหวัดในธุรกิจ e commerce ขยายตัวได้มากขึ้น 4) พฤติกรรมการซื้อสินค้าของผู้บริโภคหันมาสั่งซื้อสินค้าและบริการผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น 5) การรีวิวสินค้าของบุคคลที่มีชื่อเสียงหรือผู้ที่มีอิทธพล ช่วยในการโปรโมทสินค้าและประชาสัมพันธ์ 6) การเติบโตของการอุตสาหกรรม Data Analytics และ AI ที่เข้ามามีบทบาทบริหารจัดการการใช้ข้อมูล
– ธุรกิจความเชื่อ (สายมู, หมอดู, ฮวงจุ้ย) :
ปัจจัยสนับสนุน มาจาก 1) การผสานหลักความเชื่อเข้ากับเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อนำเสนอบริการสายมู 2) กระแสนิยมจากนักท่องเที่ยว ซึ่งให้ความสนใจในการท่องเที่ยวเชิงศรัทธา 3) ผู้มีชื่อเสียงสร้างความน่าเชื่อถือสร้างประสบการณ์ร่วมด้านอารมณ์กับลูกค้า ทำให้ธุรกิจสายมูยังมีโอกาสเติบโตได้ 4) ประเทศไทยมีสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ที่มีอายุยาวนาน 5) ความไม่มั่นคงด้านเศรษฐกิจและสังคม ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ยังคงมีการพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์
*อันดับ 4
– ธุรกิจการแพทย์และความงาม :
ปัจจัยสนับสนุน มาจาก 1) การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ บริการที่ช่วยชะลอวัย, การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน และการเสริมความงามเพื่อให้ดูดีสมวัย 2) การฟื้นตัวและการเติบโตของ Medical Tourism 3) การขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ เช่น Gen Z, ผู้ชาย, LGBTQIA+ ให้ความสำคัญกับการดูแลรูปลักษณ์และพร้อมใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 4) อิทธิพลของโซเชียลมีเดียและอินฟลูเอนเซอร์ 5) การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ก้าวหน้า ทำให้ผลลัพธ์แม่นยำและปลอดภัย
– เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ :
ปัจจัยสนับสนุน มาจาก 1) การปลดล็อกยกเลิกการจำกัดเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ช่วยเพิ่มยอดขาย 2) การขยายเวลาปิด ผับบาร์คาราโอเกะ 3) ผู้บริโภคหันมาสนใจเครื่องดื่มที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว 4) การผลักดันอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของรัฐบาล 5) การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบสนองความต้องการผู้บริโภคได้ดีขึ้น 6) เทรนด์อาหารและเครื่องดื่มใหม่ ๆ
– ธุรกิจเงินด่วน โรงรับจำนำ :
ปัจจัยสนับสนุน มาจาก 1) สภาพคล่องของภาคครัวเรือนที่ต้องได้รับแรงกระตุ้นจากนโยบายภาครัฐ ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า ทำให้ความต้องการเงินหมุนเวียนระยะสั้นมีอยู่ตลอด 2) หนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น สถาบันการเงินเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อ 3) การเกิดภัยทางธรรมชาติและภัยความมั่นคงชายแดนหลายแหล่ง ทำให้บ้านเรือนและสิ่งของเครื่องใช้เสียหาย 4) การให้บริการที่มีความสะดวกมากขึ้น 5) มีทางเลือกหลากหลาย ทั้งโรงรับจำนำเอกชน/ภาครัฐ
– ธุรกิจ AI :
ปัจจัยสนับสนุน มาจาก 1) ภาครัฐมีนโยบายส่งเสริมการประยุกต์ใช้ AI ในการพัฒนาบริการสาธารณะและยกระดับอุตสาหกรรมหลักของประเทศ 2) บริษัทขนาดใหญ่ทั่วโลกนำ AI เข้ามาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และลดต้นทุนอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในด้านการเงินและการตลาด 3) มีความร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก 4) ความต้องการผลิตภัณฑ์ AI สำหรับผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น
*อันดับ 5
– ธุรกิจโลจิสติกส์ Delivery และคลังสินค้า :
ปัจจัยสนับสนุน มาจาก 1) ความต้องการใช้คลังสินค้าเพิ่มขึ้น จากการขยายตัวของอีคอมเมิร์ซและการย้ายฐานการผลิตเข้ามาในไทย 2) พฤติกรรมการซื้อผ่านออนไลน์ของผู้บริโภคสูงขึ้น ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ 3) ธุรกิจขนส่งมีแพลตฟอร์มการบริการที่หลากหลายยิ่งขึ้น ทั้งการรับส่งเอกสาร เดินทาง สั่งอาหาร ส่งสินค้า เป็นต้น 4) รูปแบบ Delivery ที่พร้อมทั้งส่งตรงสินค้าถึงมือผู้บริโภคภายในวันเดียว
– Street Food และตลาดนัดกลางคืน :
ปัจจัยสนับสนุน มาจาก 1) ธุรกิจ Street Food ยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากกระแส Soft power ในด้านอาหาร 2) จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย ยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง 3) พฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบันที่นิยมเดินตลาด เพื่อซื้ออาหาร พักผ่อน รวมทั้งเป็นทางเลือกหลักของผู้บริโภคในการประหยัดค่าใช้จ่าย เนื่องจากมีราคาไม่สูง 4) รองรับไลฟ์สไตล์คนเมือง 5) ได้รับอิทธิพลจากการนำเสนอคอนเทนต์ผ่าน Social Media
– ธุรกิจสัตว์เลี้ยง ขายอาหาร อุปกรณ์และแฟชั่น และดูแลสัตว์ :
ปัจจัยสนับสนุน มาจาก 1) กระแสการเลี้ยงสัตว์เสมือนสมาชิกในครอบครัว 2) ผลิตภัณฑ์และบริการหลากหลาย รูปแบบสินค้าและการให้บริการมีการขยายตัวอย่างหลากหลาย 3) การเติบโตของเทคโนโลยี มีการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อสัตว์เลี้ยง 4) มาตรฐานสินค้าไทย คุณภาพสินค้าและอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยได้รับการยอมรับในตลาดโลก 5) การลงทุนความนิยมสัตว์เลี้ยงพิเศษ ความนิยมเลี้ยงสัตว์แปลก ได้รับความนิยมสูงขึ้น
*อันดับ 6
– ธุรกิจพลังงานทดแทน เช่น โซลาร์เซลล์ :
ปัจจัยสนับสนุน มาจาก 1) นโยบายขับเคลื่อนด้านพลังงาน เพื่อบรรเทาภาระค่าไฟของประชาชน ผ่านโครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชน 2) แนวโน้มความต้องการใช้พลังงานจากแผงโซลาร์เซลล์ในประเทศ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 3) มีนโยบายสนับสนุนจากสถาบันการเงินต่าง ๆ 4) ภาครัฐเตรียมส่งเสริมโครงสร้างพลังงานสะอาดขนาดใหญ่ ผ่านโครงการโซลาร์ลอยน้ำ
– ธุรกิจอาหารเสริมสุขภาพและความงาม :
ปัจจัยสนับสนุน มาจาก 1) พฤติกรรมของประชาชนในปัจจุบันให้ความสำคัญในการดูแลตัวเองมากขึ้น 2) กระแสการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน 3) ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายและรวดเร็วผ่านช่องทาง Social Media และมีแพลตฟอร์ม Social Commerce 4) มีการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมการผลิตอาหารที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคได้หลากหลายกลุ่มมากขึ้น
*อันดับ 7
– ธุรกิจที่ปรึกษาด้านการลงทุน หรือวางแผนทางการเงิน :
ปัจจัยสนับสนุน มาจาก 1) ตลาดการเงินในปัจจุบันมีความผันผวนสูง รวมถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงินในปัจจุบันยังมีความหลากหลายและซับซ้อน 2) ปัจจุบันผู้คนตระหนักถึงความจำเป็นในการวางแผนทางการเงินเพื่อเกษียณอายุและสุขภาพในระยะยาวอย่างเร่งด่วน 3) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และธนาคารแห่งประเทศไทย มีนโยบายผลักดันมาตรฐานการให้คำปรึกษาที่สูงขึ้น 4) การนำ FinTech หรือ AI มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการข้อมูลเชิงลึก
– ธุรกิจเกมส์ :
ปัจจัยสนับสนุน มาจาก 1) มีการจัดการแข่งขันกีฬาอีสปอร์ต (E Sports) และการจัดกิจกรรมอีเว้นท์เกี่ยวกับเกมออนไลน์ระดับนานาชาติ 2) ตลาดเกมมือถือที่เติบโตขึ้น 3) การมาของ AI ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความรวดเร็วในการพัฒนาเกม 4) สตูดิโอ หรือธุรกิจเกมขนาดเล็กสามารถเข้าถึงตลาดที่กว้างขึ้นได้
*อันดับ 8
– ธุรกิจให้บริการสถานีชาร์จรถไฟฟ้า (ธุรกิจ EV Charging Station) และติดตั้ง :
ปัจจัยสนับสนุน มาจาก 1) รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนการใช้งาน และลงทุนใน EV รวมถึงสถานีชาร์จ 2) การเติบโตของตลาดรถ EV อย่างก้าวกระโดด 3) การลงทุนของค่ายรถยนต์ในไทย 4) เทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่ดีขึ้นและราคาถูกลง ส่งผลให้รถ EV น่าสนใจขึ้น 5) ความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมของผู้บริโภค 6) การต่อยอดธุรกิจหลักของผู้ประกอบการที่มีทำเลอยู่แล้ว
– ธุรกิจด้านการเงินธนาคาร Fintech และการชำระเงินผ่านระบบเทคโนโลยี :
ปัจจัยสนับสนุน มาจาก 1) มีการเดินหน้าออกใบอนุญาตธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank) เพื่อกระตุ้นการแข่งขันและนวัตกรรม 2) ธนาคารมีการลงทุนด้านไอทีมากขึ้น 3) ภาคธุรกิจต่าง ๆ หันมาใช้เครื่องมือออนไลน์ และนำฟินเทคเข้ามาพัฒนาบริการทางการเงินหรือต่อยอดธุรกิจ 4) การนำ AI มาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อประเมินคุณภาพลูกค้าผู้ขอกู้เงิน และพัฒนา Chatbot ธนาคารและ Fintech เชื่อมโยงกันผ่าน APIs และระบบชำระเงิน
– EdTech (Technology in Education) :
ปัจจัยสนับสนุน มาจาก 1) การเปลี่ยนผ่านของเศรษฐกิจดิจิทัลที่รวดเร็ว 2) สถาบันการศึกษา มีการใช้แพลตฟอร์ม EdTech กับการเรียนการสอนแบบปกติเพิ่มขึ้น 3) นโยบายการสนับสนุนของภาครัฐ 4) การเรียนรู้ระยะยาว มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
*อันดับ 9
– ธุรกิจประกันภัย ประกันชีวิต :
ปัจจัยสนับสนุน มาจาก 1) มีผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับการประกันภัยมากขึ้นและมีความหลากหลาย 2) การซื้อประกันเพื่อวางแผนการดูแลสุขภาพมากขึ้น รวมทั้งเป็นการวางแผนทางการเงินในอนาคตมากขึ้น 3) การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี บริษัทประกันปรับตัวและนำเทคโนโลยีมาใช้ในการตอบสนองผู้บริโภคยุคปัจจุบัน 4) ช่องทางออนไลน์ที่เข้าถึงง่าย 5) นโยบายส่งเสริมจากภาครัฐ ที่มีนโยบายส่งเสริมผ่านทางการส่งเสริมเส้นทางด้านภาษี
– ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (ไม่มีแอลกอฮอลล์) :
ปัจจัยสนับสนุน มาจาก 1) มาตรการกระตุ้นกำลังซื้อของภาครัฐ ที่คาดว่าจะมีเพิ่มขึ้นหลังจากมีรัฐบาลชุดใหม่ 2) ความสะดวกจากบริหารแอปพลิเคชันสั่งอาหาร 3) การเติบโตของโซเชียลมีเดียและพลังของ Influencer ช่วยผลักดันยอดขายร้านอาหาร 4) การฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว 5) เทรนด์อาหารและเครื่องดื่มใหม่ ๆ
– ธุรกิจที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อม :
ปัจจัยสนับสนุน มาจาก 1) ประเทศไทยได้ประกาศเจตนารมณ์การกำหนดเป้าหมาย Net Zero ของประเทศในปี 2050 2) การเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (CBAM) ของสหภาพยุโรป และการตรวจสอบด้าน ESG จากผู้ซื้อระดับโลก 3) นักลงทุนและผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญเกี่ยวกับความยั่งยืนสูง 4) การยกระดับการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนตามมาตรฐาน ISSB ที่เข้มงวดมากขึ้น 5) การจัดการความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
*อันดับ 10
– ธุรกิจรถยนต์ EV :
ปัจจัยสนับสนุน มาจาก 1) นโยบาย EV 3.5 ยังคงดำเนินอย่างต่อเนื่อง 2) ผู้บริโภคมีแนวโน้มการยอมรับในเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า และความตระหนักถึงสิ่งแวดล้อมที่มากขึ้น 3) ค่ายรถ EV ยังคงทำสงครามราคาอย่างต่อเนื่อง 4) จำนวนสถานีชาร์จเร็วเติบโตอย่างรวดเร็ว
– ธุรกิจการบิน :
ปัจจัยสนับสนุน มาจาก 1) จำนวนผู้บริโภคที่เดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น 2) นโยบายภาครัฐในการผลักดันไทยสู่ “ศูนย์กลางการบินภูมิภาค” 3) มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว 4) การเติบโตของ E-commerce ทั่วโลกและความต้องการขนส่งสินค้ามูลค่าสูง
– ธุรกิจร้านเสริมสวย ต่อผม ทำเล็บ ธุรกิจดูแลเกี่ยวกับสภาพเส้นผม :
ปัจจัยสนับสนุน มาจาก 1) เทรนด์ผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพหนังศีรษะและเส้นผม 2) ได้รับอิทธิพลจากบิวตี้บล็อกเกอร์ และ Influencer ที่นำเสนอคอนเทนต์ด้านความสวยความงาม 3) มีลูกค้ากลุ่มใหม่เข้าสู่ตลาดมากขึ้น 4) คุณภาพและมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ด้านความงามไทย เป็นที่ยอมรับในระดับภูมิภาค 5) กระแส Self-Care และ Wellness Lifestyle 6) กลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะเอเชีย มองว่าบริการเสริมสวยในไทยมีคุณภาพสูงและราคาคุ้มค่า
– ธุรกิจตู้หยอดเหรียญเครื่องดื่ม อาหาร และธุรกิจเครื่องสะดวกซัก :
ปัจจัยสนับสนุน มาจาก 1) พฤติกรรมของคนในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไปในด้านความสะดวกสบาย เหมาะกับคนเมืองยุคใหม่ที่มักอยู่อาศัยบริเวณพื้นที่จำกัด ขนาดไม่ใหญ่ 2) ไม่จำเป็นต้องจ้างพนักงานจำนวนมาก 3) ระบบเทคโนโลยีในปัจจุบันสามารถอำนวยความสะดวก และมีการเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันมือถือได้ 4) มีระบบการชำระเงินหลากหลายรูปแบบ 5) สามารถให้บริการผู้บริโภคได้ตลอด 24 ชั่วโมง
– ธุรกิจด้านกีฬา เช่น ให้บริการสนาม อุปกรณ์ ฯลฯ :
ปัจจัยสนับสนุน มาจาก 1) ผู้บริโภคมีการตื่นตัวในการดูแลสุขภาพและออกกำลังกายเพื่อป้องกันโรคมากขึ้น 2) การสนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงกีฬา โดยภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 3) เทรนด์การออกกำลังกายที่เป็นกิจกรรมนอกบ้านมากขึ้น 4) การเติบโตของกีฬาเฉพาะหรือกีฬาทางเลือกบางประเภท
*10 อันดับธุรกิจดาวร่วงปี 69
1. ร้านให้บริการอินเทอร์เน็ต (Internet Cafe) และธุรกิจจำหน่ายและผลิตอุปกรณ์บันทึกข้อมูล
2. ร้านขายหนังสือ แผงหนังสือ และสื่อสิ่งพิมพ์
3. ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ที่ไม่มี Platform Online และส่งหนังสือพิมพ์
4. ร้านโชห่วย (Traditional Trade)
5. ธุรกิจผลิตสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม
6. ธุรกิจถ่ายเอกสาร
7. ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ไม้แบบดั้งเดิมไม่มีการออกแบบดีไซน์
8. ธุรกิจของเล่นเด็ก
9. ธุรกิจร้านถ่ายรูปและล้างอัดภาพแบบดั้งเดิม
10. ธุรกิจรถยนต์มือสอง
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ในการประเมิน 10 ธุรกิจเด่นในปี 69 มาจากปัจจัยที่แนวโน้มเศรษฐกิจไทยมีทิศทางขาลง โดยคาดปี 68 ขยายตัว 1.9% ส่วนปี 69 โต 1.6% โดยมองว่า ความเสี่ยงของเศรษฐกิจไทยปี 68 ต่อเนื่องไปถึงปี 69 ยังมีความเสี่ยงหลักทั้งหมด 5 เรื่อง คือ
1. ความเสี่ยงเรื่องสงครามการค้า ซึ่งไทยยังอยู่ระหว่างการเจรจาภาษีสวมสิทธิ ทั้งนี้ ต้องจับตาสัญญาณการส่งออกของจีนที่ลดลง ขณะที่อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เริ่มมีสัญญาณการส่งออกที่ไม่โดดเด่นและติดลบ ซึ่งรวมถึงไทยที่คาดว่าปี 68 ส่งออกขยายตัว 11% แต่ปีหน้าคาดว่าการส่งออกจะติดลบ 1% ซึ่งเป็นปัจจัยที่เป็นความเสี่ยงของระบบเศรษฐกิจ
2. ความเสี่ยงเรื่องภาคท่องเที่ยว จากปัญหาที่นักท่องเที่ยวโดยเฉพาะจีนไม่กล้ามาเที่ยวไทยจากปัญหาแก๊งสแกมเมอร์ โดย ณ วันที่ 14 ธ.ค. 68 นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทย 30.9 ล้านคน ซึ่งคาดว่าทั้งปี 68 จะมีนักท่องเที่ยว 32.0-32.5 ล้านคน สะท้อนว่าจำนวนนักท่องเที่ยวปลายปีนี้ไม่ฟื้นเหมือนปีก่อนที่เข้ามาเดือนละ 3 ล้านคน ดังนั้น ถ้าสามารถผลักดันนักท่องเที่ยวให้ได้ 3 ล้านคนต่อเดือน จะทำให้เศรษฐกิจไทยพลิกฟื้นได้ง่ายในไตรมาส 1/69
อย่างไรก็ดี ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อภาคท่องเที่ยวในขณะนี้คือเรื่องค่าเงินบาทที่แข็งค่า ล่าสุดอยู่ที่ 31.50 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งวันนี้คาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือมาตรการในการดูแลค่าเงินบาท และคาดว่า ผลประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะลดดอกเบี้ย 0.25% เพื่อพยุงเศรษฐกิจและดูแลค่าเงิน ไม่ให้ช่องว่างระหว่างดอกเบี้ยไทยและสหรัฐฯ แคบเกินไป
3. สถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ ซึ่งยังเห็นสัญญาณท่องเที่ยวในภาคใต้ไม่ชัดว่า จังหวัดที่ได้รับผลกระทบโดยตรงหายไปมากน้อยเท่าไร โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวมาเลเซีย
4. สถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งอาจมีผลเชิงจิตวิทยา และมีผลต่อการค้าขาย และยังอาจเป็นอีกปัจจัยที่กระทบต่อภาพลักษณ์ต่อการท่องเที่ยวไทยด้วย ซึ่งถ้าคลี่คลายเร็วก็จะมีผลต่อเศรษฐกิจไทยไตรมาส 1/69
5. ปัจจัยเสี่ยงด้านการเมือง ที่ยังไม่ชัดเจนว่านายกรัฐมนตรีคนที่ 33 มาจากพรรคอะไร พรรครัฐบาลผสมจะเป็นใคร แนวนโยบายเศรษฐกิจจะเป็นประชานิยม หรือส่งเสริมการลงทุน สร้างโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจลงทุนของต่างชาติ และคนไทย ซึ่งอยู่ระหว่าง Wait and See
ทั้งนี้ ถ้าได้รัฐบาลในเดือนพ.ค. 69 ก็จะเริ่มทำงบประมาณแผ่นดินให้สามารถดำเนินการได้ในเดือนก.ย. ไม่เกินเดือนพ.ย. 69 ซึ่งจะทำให้ในไตรมาส 4/69 มีรอยต่อในการใช้งบประมาณใหม่ โดยรัฐบาลจะสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ในช่วงครึ่งปีหลัง 69
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า จากความเสี่ยง 5 ปัจจัยหลัก ทำให้ยังไม่เปลี่ยนมุมมองเศรษฐกิจในเชิงบวก มองเศรษฐกิจไทยปี 69 โต 1.6% โดยมองว่า จุดตัดสินทั้งหมดจะอยู่ในไตรมาส 1/69 เนื่องจาก 1. จะมีเงินสะพัดจากการเลือกตั้ง คาดว่าน่าจะมีการใช้เงินรวม 40,000-60,000 ล้านบาท ซึ่งวงเงินนี้จะถูกใช้ในช่วงเดือนม.ค. 69 ทำให้เศรษฐกิจไทยถูกพยุงไว้ 2. ต้องติดตามว่าการท่องเที่ยวจะสามารถพลิกฟื้นเกิน 3 ล้านคนต่อเดือนได้หรือไม่ ถ้าคลายกังวลเรื่องแก๊งสแกมเมอร์ นักท่องเที่ยวจีนกลับมา คนไม่กังวลเรื่องสถานการณ์ไทย-กัมพูชา และน้ำท่วมภาคใต้ และ 3. เรื่องการส่งออก จะเป็นตัวชี้ว่า ในช่วงไตรมาส 1/69 ซัพพลายเชนของโลกจะมีการส่งออกติดลบหรือไม่ นอกจากนี้ จะเริ่มเห็นนโยบายของพรรคการเมืองที่ชี้ให้เห็นว่า เศรษฐกิจไทยจะถูกกระตุ้นอย่างไร
“อยากผลักดันให้พรรคการเมืองนำเสนอนโยบายในการหาเสียงแนวนโยบายในการต่อต้าน และแก้ไขปัญหาคอรัปชัน ตลอดจนเรื่องของแก๊งสแกมเมอร์ ซึ่งจะสร้างความมั่นใจให้ทั้งสังคมไทยและสังคมโลก” นายธนวรรธน์ กล่าว
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ในไตรมาสที่ 1/69 จะเป็นตัวตัดสินภาพเศรษฐกิจ และในไตรมาส 2/69 รัฐบาลจะเข้ามาบริหารประเทศ จึงมองว่าเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีแรกยังมีสัญญาณ Sideway Down และเศรษฐกิจไทยอาจเริ่มพลิกฟื้นกลับมาในช่วงไตรมาส 3/69
สำหรับปัญหาของเศรษฐกิจไทย นายธนวรรธน์ กล่าวว่า รมว.คลัง พูดชัดเจนว่า ไทยต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นปัญหาที่หน่วยงานต่าง ๆ พูดว่าเป็นปัญหามาแล้ว 5 ปี ดังนั้น ไทยต้องกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ซึ่งจะต้องทำให้เกิดขีดความสามารถในการแข่งขันระยะยาว ขณะเดียวกัน ยังต้องให้ต่างชาติมั่นใจว่าประเทศไทยยังมีเศรษฐกิจที่เติบโตในระดับ 4-5% ได้ในระยะปานกลาง
“เดิมประเทศไทยเคยมีเสน่ห์สูงอันดับ 2-3 ในอาเซียน ในการดึงดูดการลงทุน แต่ปัจจุบันลงมาอยู่อันดับ 6 ดังนั้น สิ่งที่ไทยต้องทำคือ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจไปในทิศทางเทคโนโลยีและ AI ตลอดจนโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ เช่น น้ำ ไฟ รวมถึงระบบโลจิสติกส์ในการส่งเสริมการท่องเที่ยว ทั้งนี้ สิ่งที่จะเป็นรากฐานสำคัญที่จะทำให้ระยะปานกลางไปจนถึงระยะยาวโดดเด่น คือการวางโครงสร้างด้านการศึกษา นอกจากนี้ เรื่องการวางรากฐานเรื่องการดึงคนเข้าระบบภาษีก็เป็นเรื่องสำคัญ เพราะปัญหาของไทยคือขาดดุลงบประมาณสูง และถ้าใช้นโยบายประชานิยมแจกเงินอย่างเดียว จะไม่สร้างฐานของการสร้างอาชีพอย่างยั่งยืน ดังนั้น นโยบายเกี่ยวกับการโอนเงิน แจกเงิน ควรทำให้น้อยลง อาจทำได้ในระยะสั้นในการกระตุ้น แต่ใช้วงเงินไม่สูง นโยบายของพรรคการเมืองไม่ควรทำนโยบายแจกเงิน และหลีกเลี่ยงการล็อกค่าแรงขั้นต่ำ” นายธนวรรธน์ กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 ธ.ค. 68)





