
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ประเมินว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกครั้งมาอยู่ที่ 1.0% ภายในครึ่งแรกของปี 69 เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มเติบโตต่ำผ่านการลดต้นทุนทางการเงิน บรรเทาภาระหนี้สิน และเพื่อเพิ่มอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่มีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำกว่ากรอบเป้าหมายให้สูงขึ้น ลดความเสี่ยงของภาวะ Debt deflation ที่อาจกดดันการใช้จ่ายในประเทศมากขึ้นได้ในระยะข้างหน้า เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายต้องสอดคล้องกับ เศรษฐกิจไทยที่จะโตต่ำกว่าศักยภาพไปอีกอย่างน้อย 2 ปี โดย กนง. มองว่าเศรษฐกิจไทยในปี 69 จะขยายตัวเพียง 1.5%YOY (เท่ากับประมาณการของ SCB EIC ณ ธ.ค. 68) เป็นระดับการเติบโตที่ต่ำที่สุดนอกช่วงวิกฤต ตลอดช่วง 30 ปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ กนง. ยังมองว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในปี 70 จะยังทำได้ไม่เต็มที่เนื่องจากเผชิญแรงกดดันหลายด้าน
ขณะที่ในช่วงที่ผ่านมาระดับราคาผู้บริโภคไทยแทบไม่เติบโตเลย ซึ่งไม่สอดคล้องกับทิศทางของเศรษฐกิจประเทศในภูมิภาคส่วนใหญ่ แต่มีทิศทางคล้ายกับระดับราคาผู้บริโภคจีนซึ่งประสบปัญหาอุปสงค์ในประเทศซบเซาที่ค่อนข้างรุนแรง และหากดูจากประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปของ ธปท. อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยในปี 67-69 จะเฉลี่ยอยู่ที่เพียง 0.2%
อัตราเงินเฟ้อที่ต่ำมากนี้อาจกดดันการทำกำไรของภาคธุรกิจที่ไม่สามารถปรับราคาสินค้าและบริการเพิ่มได้ ซึ่งจะส่งผลมายังรายได้ของครัวเรือนที่เติบโตได้ต่ำ นอกจากนี้ อาจทำให้ครัวเรือนเผชิญกับภาวะ “Debt deflation” ผ่านภาระหนี้ครัวเรือนที่ลดลงช้า เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อไม่ได้อยู่ในระดับเหมาะสมที่จะช่วยลดภาระหนี้ครัวเรือนในรูปมูลค่าที่แท้จริงได้ ทั้งหมดนี้จะเป็นกลไกที่ลดทอนกำลังซื้อของภาคครัวเรือน และอาจเพิ่มความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยจะเข้าสู่ภาวะเงินฝืด (Deflation)
ภาวะการเงินจะยังคงตึงตัวต่อภาคครัวเรือนและ SMEs ขณะที่ความต้องการสินเชื่อของธุรกิจขนาดใหญ่ลดลง สะท้อนผ่านยอดสินเชื่อคงค้างที่หดตัวเป็นวงกว้าง นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายลงจึงจะเข้ามามีบทบาทในการลดต้นทุนทางการเงินและบรรเทาภาระหนี้ ซึ่งจะช่วยให้ภาวะการเงินโดยรวมตึงตัวน้อยลง
ทั้งนี้ ในการประชุม กนง.ที่ผ่านมา SCB EIC มองว่าการสื่อสารของ กนง. ในครั้งนี้ต่างจากการสื่อสารในครั้งก่อน ๆ หลายประเด็น ได้แก่
1) กนง. มองเศรษฐกิจชะลอตัวลง “ชัดเจน” ในปีหน้า โดยเน้นสื่อสารปัจจัยลบ และความเสี่ยงเศรษฐกิจในระยะข้างหน้ามากกว่าการสื่อสารถึงตัวเลขเศรษฐกิจและการส่งออกที่ออกมาค่อนข้างดีในช่วงที่ผ่านมา และเปิดเผยมุมมองต่อเศรษฐกิจปี 70 เพิ่มเติมด้วยว่าจะฟื้นตัวดีขึ้นแต่จะยังขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพ ซึ่งเป็นการสื่อสารให้ภาพเศรษฐกิจไปข้างหน้าที่ค่อนข้างระมัดระวัง โดยประเมินว่าเศรษฐกิจปี 70 จะขยายตัวได้เพียง 2.3%YOY
2) กนง. จะติดตามความเสี่ยงภาวะเงินฝืดอย่าง “ใกล้ชิด” โดยเริ่มสื่อสารถึงแรงกดดันด้านอุปสงค์ในประเทศเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นการสื่อสารเพิ่มเติมจากการประชุมรอบก่อน ๆ ที่เน้นประเด็นว่าความเสี่ยงเงินฝืดมีน้อย โดยไม่ได้มีการกล่าวถึงปัจจัยด้านอุปสงค์มากนัก แต่ในรอบนี้เริ่มพูดถึงปัจจัยด้านอุปสงค์ที่มีบทบาทประคองเงินเฟ้อทั่วไปได้น้อยลง
3) กนง. กังวลบาทแข็งค่านำสกุลเงินภูมิภาค พร้อมพิจารณามาตรการลดแรงกดดันบาทแข็ง ซึ่งโดยปกติแล้ว กนง. มักไม่กล่าวถึงมาตรการดูแลเงินบาทใน Statement โดยรวม Statement ในครั้งนี้ให้ท่าทีผ่อนคลาย (Dovish tone) มากกว่าการสื่อสารครั้งก่อน ๆ และให้น้ำหนักกับความเสี่ยงของเศรษฐกิจ และการตึงตัวของภาวะการเงินชัดเจนมากขึ้น
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (18 ธ.ค. 68)





