
นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เปิดเผยถึงคืบหน้าโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก มูลค่า 290,000 ล้านบาท ว่า การเจรจากับ บริษัท อู่ตะเภาอินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น (บริษัทร่วมทุนระหว่างบมจ.การบินกรุงเทพ [BA] , บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ [BTS] และบมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่นหรือ [STECON] ) ในการปรับแผนการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภายังไม่เรียบร้อย โดย UTA ขอลดขนาดการพัฒนาขีดความสามารถของอาคารผู้โดยสารในระยะแรกแรก จากเดิมรองรับที่ 12 ล้านคนต่อปี ลดลงเหลือเริ่มต้น 3 ล้านคนต่อปี ภายใต้เงื่อนไขช่วงแรกยังไม่มีโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ซึ่งมีเหตุผลยอมรับได้
ทั้งนี้ เป็นเจรจากันในเรื่องสมมุติฐานที่ใช้ในการประมาณการจำนวนผู้โดยสาร ซึ่งอีอีซี ให้ UTA ไปทำข้อมูลเพิ่มเติมอ้างอิงที่มาของตัวเลข 3 ล้านคนต่อปี รวมถึงให้ประมาณการตัวเลขการเติบโตของผู้โดยสารไปถึง 50 ปีที่ UTA ขอลดลงจาก 60 ล้านคนต่อปี โดยอ้างอิงว่าสนามบินสุวรรณภูมิจะมีการพัฒนาศักยภาพและมีจำนวนผู้โดยสารสูงสุดถึง 150 ล้านคนต่อปี และสนามบินดอนเมืองมีจำนวนผู้โดยสารสูงถึง 80 ล้านคนต่อปี แต่อีอีซีมองว่าตัวเลขอ้างอิงของสนามบินสุวรรณภูมิอาจสูงเกินไป เพราะการพัฒนานอกจากศักยภาพอาคารผู้โดยสาร รันเวย์แล้ว ยังมีเรื่องโครงสร้างพื้นฐานโดยรอบเส้นทางเข้าออกที่ยังเป็นข้อจำกัด
“อีอีซีต้องการผลักดันให้โครงการเดินหน้าต่อไปได้ ภายใต้ยังไม่มีโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินในช่วงแรก จึงมีเหตุผลยอมรับได้ว่าจำนวนผู้โดยสารในช่วงแรกลดลง จากประมาณการเดิม ที่ 12 ล้านคนต่อปี ขณะที่อาคารผู้โดยสารควรเริ่มก่อสร้างภายในปี 69 เพื่อให้สามารถเปิดอาคารผู้โดยสารให้บริการได้ สอดคล้องกับการเปิดใช้รันเวย์ที่ 2 ซึ่งได้เริ่มก่อสร้างไปเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 68 และจะใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 4 ปี “
นายจุฬา กล่าวว่า จะเจรจาเรื่องการปรับแผนพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาให้ได้ข้อยุติภายในเดือนนี้เพื่อนำไปพิจารณาต่อ เฟสแรกไม่น่ามีปัญหาการออกแบบก่อสร้างอาคารผู้โดยสาร อาจจะทำที่ 6 ล้านคนหรือ 12 ล้านคน แต่สามารถแบ่งการเปิดเป็นเซกชั่นได้ เช่น เปิดที่ 3 ล้านคนต่อปีก่อน เมื่อมีผู้โดยสารในระดับ 80% ของขีดความสามารถก็เปิดในเฟสต่อไป เพราะเมื่อโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินออก NTP ให้เริ่มงานได้ ตัวเลขประมาณการผู้โดยสารและการพัฒนาสนามบินต้องเปลี่ยนไปตามสมมุติฐานที่มีรถไฟความเร็วสูงด้วย แต่ตอนนี้ ประเด็นสำคัญคือ UTA ต้องประมาณการจำนวนผู้โดยสาร 50 ปีว่าจะอยู่ที่เท่าไร
สำหรับการพัฒนาในส่วนของเมืองการบินขณะนี้ ได้ข้อสรุปเรื่องสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุน 14 เรื่องแล้ว รอขั้นตอนการเสนอคณะกรรมการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (บอร์ดกพอ.) เท่านั้น ซึ่งอีอีซี พร้อมออกหนังสือให้เริ่มงาน (NTP: Notice to Proceed) และเป็นการเริ่นนับอายุสัญญา ซึ่งทาง UTA อาจจะต้องประเมินว่าฝั่งอาคารผู้โดยสารจะได้เริ่มก่อสร้างเมื่อใดด้วย เพราะไม่สามารถแยกออก NTP ได้
รายงานข่าวแจ้งว่า ภายในสัปดาห์นี้ UTA จะส่งแผนการปรับลดขนาดและประมาณการผู้โดยสารตลอดอายุสัมปทาน 50 ปีใหม่ อย่างไรก็ตามจะไม่มีการแก้ไขตัวเลขผู้โดยสาร 60 ล้านคนต่อปี แต่จะรอไปถึงปีที่ 40 ค่อยประเมินอีกครั้งว่าระยะเวลาที่เหลือก่อนหมดสัมปทานผู้โดยสารจะถึง 60 ล้านคนหรือไม่ หากไม่ถึงก็อาจจะพิจารณาเรื่องแก้ไขสัญญากันตอนนั้นแทน เพราะในวันนี้ คงไม่สามารถตัดสินใจในเรื่องอีก 40-50 ปีข้างหน้าได้ ดังนั้นต้องยึดตามเงื่อนไขสัญญาที่ 60 ล้านคนต่อปีไปก่อน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (22 ธ.ค. 68)




