
ราคาโลหะเงินปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรง ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อวานนี้ (23 ธ.ค.) โดยทะลุระดับสำคัญที่ 70 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ขณะที่ราคาทองคำและพลาตินัมก็ปรับขึ้นแตะระดับสูงสุดใหม่เช่นกัน ท่ามกลางแรงหนุนจากภาวะตลาดที่ตึงตัว ค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่า และความต้องการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย
ราคาโลหะเงินในตลาดสปอตพุ่งขึ้น 3.2% สู่ระดับ 71.22 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ณ เวลา 15.12 น. ตามเวลาสหรัฐฯ วานนี้ หรือ 03.12 น. ตามเวลาไทยวันนี้ หลังจากทำสถิติสูงสุดระหว่างวันที่ 71.49 ดอลลาร์สหรัฐ โดยตั้งแต่ต้นปีนี้ ราคาโลหะเงินปรับตัวขึ้นแล้วถึง 147%
นักวิเคราะห์จาก Zaner Metals ระบุว่า ปัจจัยหลักมาจากภาวะอุปสงค์และอุปทานในตลาดโลหะเงินที่ขาดดุลต่อเนื่องเป็นเวลา 5 ปี ควบคู่กับความต้องการใช้ในภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ บทบาทของโลหะเงินในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยยังได้รับแรงหนุนจากความคาดหวังว่าเงินดอลลาร์จะอ่อนค่า และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ลดลง ซึ่งล้วนกระตุ้นแรงซื้อ โดยประเมินว่าเป้าหมายถัดไปของราคาโลหะเงินอยู่ที่ระดับ 75 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ อย่างไรก็ดี การขายทำกำไรในช่วงปลายปีอาจนำไปสู่การปรับฐานของราคา
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงในสัปดาห์นี้ ส่งผลให้โลหะมีค่าที่ซื้อขายในรูปดอลลาร์มีความน่าสนใจมากขึ้นสำหรับนักลงทุนจากต่างประเทศ
ด้านราคาทองคำในตลาดสปอตปรับขึ้น 1.1% สู่ระดับ 4,492.99 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หลังจากทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 4,497.55 ดอลลาร์สหรัฐ โดยราคาทองคำเพิ่มขึ้นแล้วราว 70% นับตั้งแต่ต้นปีนี้ จากแรงหนุนของความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ การเข้าซื้อทองคำอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลาง และความต้องการลงทุนที่แข็งแกร่ง
ขณะที่สัญญาทองคำล่วงหน้าของสหรัฐฯ ส่งมอบเดือน ก.พ. ปิดตลาดล่าสุด เพิ่มขึ้น 0.8% ที่ระดับ 4,505.7 ดอลลาร์ต่อออนซ์
นักวิเคราะห์จาก SP Angel ระบุว่า แนวโน้มการกระจายเงินสำรองระหว่างประเทศของธนาคารกลางยังคงเป็นแรงหนุนสำคัญต่อราคาทองคำไปจนถึงช่วงปลายทศวรรษนี้ และคาดว่าราคาทองคำมีโอกาสปรับขึ้นสู่ระดับ 5,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ในปีหน้า
ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์กลับมาทวีความรุนแรง หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ สั่งการเมื่อสัปดาห์ที่แล้วให้ปิดล้อมเรือบรรทุกน้ำมันที่ถูกคว่ำบาตรทั้งหมดที่เข้าและออกจากเวเนซุเอลา พร้อมระบุว่าไม่ตัดความเป็นไปได้ของการทำสงครามกับประเทศดังกล่าว
ส่วนราคาพลาตินัมในตลาดสปอตพุ่งขึ้น 6.8% สู่ระดับ 2,268.95 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หลังจากทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 2,274.10 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ราคาพัลลาเดียมพุ่งขึ้น 6.5% แตะระดับสูงสุดในรอบ 3 ปีที่ 1,874.22 ดอลลาร์สหรัฐ โดยโลหะทั้งสองชนิดถูกใช้เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาในอุตสาหกรรมยานยนต์เพื่อช่วยลดการปล่อยมลพิษ
เมื่อต้นเดือนนี้ คณะกรรมาธิการยุโรปเปิดเผยแผนที่จะยกเลิกมาตรการที่จะห้ามใช้รถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในปี 2578 โดยนักวิเคราะห์ของมิตซูบิชิระบุว่า ข่าวดังกล่าวเป็นแรงหนุนสำคัญต่อกลุ่มโลหะพลาตินัม เนื่องจากช่วยยืดอายุการใช้งานของโลหะเหล่านี้ในระบบตัวเร่งปฏิกิริยาของรถยนต์ต่อไป
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 ธ.ค. 68)




