
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คาดว่าช่วงเลือกตั้งปี 69 แม้ยังไม่เห็นภาพชัดเจนว่าจะมีพรรคการเมืองลงสมัครทั้งหมดกี่พรรค แต่เชื่อว่าการแข่งขันจะค่อนข้างรุนแรงและดุเดือด ในมุมมองเชิงวิชาการ 3 พรรคการเมืองหลัก ได้แก่ พรรคภูมิใจไทย พรรคเพื่อไทย และพรรคประชาชน ต้องการได้อันดับ 1 หรือ 2 หรือ มีเสียงมากพอที่จะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล หรือมีคะแนนมากกว่า 100 ที่นั่ง
ขณะเดียวกัน พรรคกล้าธรรม ก็พยายามทำให้พรรคมีขนาดใหญ่ เพื่อให้กลายเป็นพรรคสำคัญในการเป็นรัฐบาลผสม ด้านพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคพลังประชารัฐ ก็ต้องรีเทิรน์มาให้ได้เกิน 25 เสียง เพื่อที่จะสามารถเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีได้ เช่นเดียวกับพรรครวมไทยสร้างชาติ รวมกับพรรคเศรษฐกิจ และพรรคไทยก้าวใหม่ ก็ต้องพยายามมีที่นั่ง สส.ให้ได้
ดังนั้น พรรคการเมืองหลักจะแข่งขันกันอย่างหนักเพื่อชิงที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร คงได้เห็นภาพการแข่งขันหาเสียงอย่างเข้มข้น ดังนั้น คาดว่าเลือกตั้งจะมีเงินสะพัด 40,000-60,000 ล้านบาท น่าจะช่วยพยุงเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 1/69 ไตรมาสแรกในปีหน้าจะเป็นตัวตัดสินว่าเศรษฐกิจไทยทั้งปี 69 จะเติบโตได้เท่าไร หากไตรมาส 1/69 โตเกิน 2% ก็จะบ่งชี้ว่าทั้งปีจะเติบโตได้เกินกว่า 2% เช่นกัน
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ปัญหาของเศรษฐกิจไทยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาใช้นโยบายในเชิง “เงินโอน” เพราะฉะนั้นแนวทางที่รัฐบาลใหม่จะทำคงหนีไม่พ้นนโยบายเงินโอนต่อเนื่อง เพราะยังมีความจำเป็นในระบบเศรษฐกิจของไทย เนื่องจากการใช้งบประมาณแผ่นดินในการขับเคลื่อนอาจทำได้ช้ากว่า จากที่จำเป็นต้องมีขั้นตอนการตั้ง TOR การประมูลจัดซื้อจัดจ้าง
อย่างไรก็ตาม ม.หอการค้า เห็นว่ารัฐบาลชุดใหม่ไม่ควรจะใช้วงเงินนโยบาย “เงินโอน” มากเกินไป หรือไม่ควรเกิน 40,000 ล้านบาท เพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 2/69 ที่ต้องการการประคองเศรษฐกิจ เนื่องจากนโยบาย เงินลงทุนต่าง ๆ ยังไม่ออกมา ประกอบกับที่คาดว่าการส่งออกในปี 69 อาจติดลบ เพราะยังไม่ชัดเจนเรื่องภาวะเศรษฐกิจโลก สงครามการค้า
“นโยบายเงินโอนน่าจะถูกใช้ในไตรมาสที่ 2/69 พอรัฐบาลเข้ามาถวายสัตย์ฯ ในช่วงเดือนพ.ค.-มิ.ย. 69 ก็น่าจะเป็นช่วงที่นโยบายสามารถดำเนินการได้ และสิ่งสำคัญคือ นโยบายประชานิยม จะต้องมีแหล่งที่มาที่ไปของเงินชัดเจน” นายธนวรรธน์ กล่าว
นายธนวรรธน์ เสนอแนะนโยบายที่รัฐบาลใหม่ควรเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งปัญหาของไทยคือควรมีนโยบายการศึกษาที่ชัดเจน เพราะต้องแข่งเรื่อง “คน” ขณะเดียวกัน นโยบายการต่อต้านการคอรัปชัน ก็ควรมีความชัดเจนเช่นกัน เนื่องจากประเทศไทยมีคะแนนคอรัปชันที่ไม่โดดเด่น การที่คนจะมาลงทุน จะต้องเห็นว่าเรามีความโปร่งใส ดังนั้น เรื่องการต่อต้านสแกมเมอร์ และคอรัปชัน จะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระยะยาว
สำหรับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ก็ควรวางโครงสร้างในเรื่องชลประทาน เพราะไทยมีความเสี่ยงเรื่องน้ำ ทั้งแล้งและท่วม และในอนาคตต้องใช้น้ำในการทำดาต้าเซนเตอร์ ขณะที่การกำหนดค่าแรงขั้นต่ำที่สูงเกินไป ก็จะกระทบต่อมุมมองของต่างชาติที่มองเรื่องความสามารถในการแข่งขันของไทย เพราะทุกการเลือกตั้งค่าแรงขั้นต่ำจะสูงขึ้นเสมอ
นายธนวรรธน์ กล่าวถึงการแถลงข่าวของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) วานนี้ (23 ธ.ค.) เรื่องค่าเงินบาทแข็งค่าว่า สิ่งที่เห็นชัดเจนคือในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา เงินบาทแข็งค่าจาก 32.50 บาท/ดอลลาร์ เหลือ 31 บาท/ดอลลาร์ หรือแข็งค่าขึ้นประมาณ 4.2% เมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง มาเลเซียที่แข็งค่าที่ 1.7% สิงคโปร์ 1.4% จีน 1% ขณะที่เวียดนาม 0.1% และฟิลิปปินส์ 0.2% ดังนั้น ความสามารถในการแข่งขันของไทยหลุดกรอบเร็วมาก
การที่บาทแข็งเร็วควรจะต้องทบทวนว่ามีเหตุผลหรือไม่ เพราะถ้าเทียบตั้งแต่ต้นปี 68 เงินบาทแข็ง 9.4% เมื่อเทียบกับเวียดนามที่อ่อนค่าลง 3.3% ดังนั้น ถ้าเทียบทั้งปีสินค้าของเวียดนามถูกกว่าเกือบ 13% ซึ่งเป็นเรื่องของความสามารถในการแข่งขันที่ไทยสูญเสียไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งในภาคธุรกิจมองว่าค่าเงินบาทที่เหมาะสมอยู่ที่ประมาณ 34-35 บาท/ดอลลาร์
สำหรับสาเหตุที่เงินบาทแข็งค่า มาจาก 1. ส่งออกสุทธิดี เกินดุลการค้า 2. ท่องเที่ยวสุทธิดี เกินดุลบริการ 3. เงินทุนไหลเข้า มาในแง่ของการลงทุน ตลาดตราสารหนี้ ตลาดหุ้นมีสัญญาณดีอยู่ ดอกเบี้ยของตลาดตราสารหนี้สูงขึ้น ทำให้เงินไหลเข้ามา 4. แนวโน้มของดอลลาร์อ่อนค่า และ 5. การเก็งกำไร หรือลักษณะของทุนเทาที่เข้ามามาก ทั้งหมดคือฐานของการที่ค่าเงินบาทแข็งค่า
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ธปท. ได้มีประเด็นเกี่ยวกับการไหลเข้า-ออกของการค้าทองคำค่อนข้างมาก ซึ่งการซื้อขายทองคำมีข้อสรุปวานนี้ว่าถ้าซื้อขายมูลค่าต่อวันของหุ้น วันละ 40,000 ล้านบาท แต่ซื้อขายทองคำวันละ 60,000 ล้านบาท สะท้อนว่าคนซื้อขายทองคำมาก และน้ำหนักของคนที่ซื้อทองคำที่เป็น Paper สูงกว่าทองคำเส้นและทองคำแท่งมาก และเงินดอลลาร์ที่ไหลเข้ามาจากสัดส่วนทองคำสูงถึง 45% ทำให้ธปท. เข้าไปดูว่าหากมีความจำเป็นอาจต้องมีการเก็บภาษี หรือจำกัดธุรกรรมการซื้อขายที่เป็น Paper
ดังนั้น ส่วนตัวมองว่า ธปท. น่าจะมาถูกทาง เพราะการซื้อขายส่วนใหญ่มาจาก Paper ซึ่งเป็นการทำธุรกรรมที่ไม่ปกติ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่ชอบธรรม แต่การเข้ามามากจนเป็นข้อสังเกตว่าอาจเกิดผลร้ายต่อเศรษฐกิจไทยได้ ขณะที่ปัจจุบันราคาทองคำในตลาดโลกอยู่ที่ 4,500 ดอลลาร์ แนวโน้มที่จะทะลุ 4,700-5,000 ดอลลาร์ ก็มีโอกาสเกิดขึ้นในอนาคต และธนาคารกลางของโลกยังซื้อทองคำ
“นี่เป็นสิ่งที่ธปท. และกระทรวงการคลังสามารถดูแลได้ ถ้าเงินบาทหลุดไป 30 บาท/ดอลลาร์ จะทำให้เศรษฐกิจไทยมีปัญหา กระทบต่อการส่งออกและการท่องเที่ยวได้ ซึ่งในครั้งนี้ยังไม่ได้ออกมาตรการ เป็นการเตือนไปก่อน แต่ควรออกมาตรการเพื่อเป็นการยั้งค่าเงินบาท ที่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31-32 บาท/ดอลลาร์ จากดอลลาร์ที่อ่อนค่า ดังนั้น การแทรกแซงปกติเข้าไปซื้อดอลลาร์ ก็เป็นสิ่งที่ธปท. ทำตามความเหมาะสม การลดดอกเบี้ยตามสหรัฐฯ ทำให้ปีหน้าโอกาสที่ดอกเบี้ยจะลดลง 0.25% จะเกิดขึ้นได้” นายธนวรรธน์ กล่าว
ด้านนางเสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ ที่ปรึกษาประจำของสภามหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า คณะทำงาน “Zero Corruption: กกร. และเพื่อน ไม่ทน” จะมีการทำวิจัยสำรวจทัศนคติของประชาชนที่มีต่อของพรรคการเมือง นโยบายการต่อต้านการทุจริตคอรัปชัน ซึ่งจะมีการทำงานระหว่างศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) โดยจะมีการแถลงข่าวในวันที่ 15 หรือ 16 ม.ค. 69 และในวันที่ 20 ม.ค. 69 จะมีการเชิญพรรคการเมือง 7 พรรค มาแสดงนโยบายเกี่ยวกับการต่อต้านการคอรัปชัน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 ธ.ค. 68)





