องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT ชวนสังคมทบทวนผลกระทบจากการโกงกินแผ่นดินกันเป็น “เครือข่าย” ครอบคลุมทุกวงการผ่าน “10 ข่าวคอร์รัปชันแห่งปี 2568” จับตา “3 กรณีใหญ่ 6 เรื่องร้อน” ที่จ่อคิวรอพิสูจน์กระบวนการยุติธรรมและหลักนิติรัฐไทย พร้อมฝากความหวังไว้กับ “เลือกตั้งใหม่” ทั้ง “อบต.-สส.” ใช้ 1 สิทธิ์ที่มีไม่เอาคนโกง

นายมานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ปี 68 เป็นปีแห่งการ “โกงเป็นเครือข่าย” มีหลายเหตุการณ์ที่นักการเมืองและชนชั้นนำได้กระทำเรื่องผิดความคาดหวังของสังคมอย่างไม่เกรงกลัวใคร ไม่สนใจจริยธรรม ขณะที่ สว. และกรรมการองค์กรอิสระฯ จำนวนมากกลายเป็นภาระของบ้านเมือง จนการต่อต้านคอร์รัปชันเป็นเรื่องยาก ฉุดรั้งนิติรัฐและสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง ดังกรณี 10 ข่าวคอร์รัปชัน ต่อไปนี้

1. อาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่น (สตง.) ถล่ม คอร์รัปชันที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 86 คน เสียหายกว่า 2 พันล้านบาท แต่ไม่ปรากฏตัวคนบงการและสาเหตุที่ตึกถล่มอย่างแท้จริง เพราะรายงานการสอบสวนอย่างเป็นทางการถูกปกปิดอยู่ในลิ้นชักของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และรัฐบาล นำไปสู่การตั้งคำถามถึงมาตรฐานความปลอดภัยของอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย และการประเมิน ITA โดย ป.ป.ช. ว่าเชื่อถือได้เพียงใด
2. วงการสงฆ์ เกิดวิกฤต “ศรัทธาและความไว้วางใจ” หลังปรากฏข่าวพระระดับเจ้าคุณหลายรูปโกงเงินวัด เฉพาะกรณีสีกากอล์ฟ มีมากถึง 13 ราย ในห้วงเวลา 3 ปีที่ตรวจสอบมีความเสียหายราว 385 ล้านบาท พฤติกรรมโกงเงินโกงศรัทธาสาธุชนยังถูกแฉต่อเนื่องถึงพระชื่อดังอื่น เช่น ข่าวพระอลงกต และอีก 181 ราย ที่ตำรวจสอบสวนกลางปูพรมไล่จับ
3. การยึดและอายัดทรัพย์ 3 เครือข่ายสแกมเมอร์กว่าหมื่นล้านบาท มีชื่อที่ถูกตั้งข้อสงสัยโดยรัฐบาล และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ( ป.ป.ง.) คือ “ยิม เลียก-เบน สมิธ-ก๊ก อาน และเฉิน จื้อ” แต่ที่สะกิดใจสังคมมากคือข่าวและภาพถ่ายของคนดังที่ปรากฏสู่สังคมต่อเนื่องว่าพวกเขาเกี่ยวข้องได้เสียกันขนาดไหน เรื่องนี้ชี้ให้เห็นความเชื่อมโยงเป็นเนื้อเดียวกันระหว่าง “ส่วยสินบนของตำรวจ นักการเมือง นักธุรกิจไทย กับเครือข่ายทุนเทาระดับโลก” ที่ครอบงำอำนาจรัฐ จนสร้างความเดือดร้อนแก่คนไทยถึง 115,300 ล้านบาทต่อปี ท่ามกลางกลไกตรวจสอบของรัฐที่อ่อนแอ เลือกปฏิบัติ เต็มไปด้วยความลับ แต่พร้อมจะเล่นงานใครก็ตามที่คิดจะเปิดโปง
4. รพ.ทหารผ่านศึก ถูกเปิดโปงการขบวนการทุจริตยาที่ทำมานาน 7 ปี มีหมอและผู้ร่วมขบวนการกว่า 20 คน สร้างความเสียหายราว 80 ล้านบาท ถูกเปิดโปงโดยหญิง “ผู้กล้า” ที่สละเวลาสองปีในการสืบสาวข้อมูล การทุจริตยา ยังถูกแฉซ้ำด้วยข่าวของหมอตำรวจหรือหมอแอร์ค้ายาเสียสาว และข่าวหมอทหารฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ปลอมให้คนไข้ การคดโกงในโรงพยาบาลที่เกิดขึ้นทั่วไปมายาวนาน จนกระทบต่อคุณภาพการให้บริการระบบบัตรทองและ 30 บาทรักษาทุกโรค และโรงพยาบาลของรัฐจำนวนมากกำลังขาดเงินหมุนเวียน
5. นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยคนแรกที่ติดคุกจริง หลังติดคุกทิพย์เป็นเวลานานโดยอาศัย “ขบวนการบิดเบือนกฎหมายและความจริง” ด้วยนักการเมืองร่วมกับบางคนในกรมราชทัณฑ์และหมอในโรงพยาบาลตำรวจ จนกระทั่งมีการพิสูจน์ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ที่นำไปสู่คำตัดสินของศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง การเอื้อประโยชน์แก่พวกพ้องและบิดเบือนการบังคับใช้กฎหมายครั้งนี้ ได้ทำลายความเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรมของไทยในสายตานานาชาติและสังคมไทย
6. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมพวกกว่า 200 นาย ถูกคณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ (ก.ร.ตร.) มีมติชี้มูลความผิดทางวินัย ข้อหารับเงินจากขบวนการส่วยเว็บพนันออนไลน์ นับเป็นข่าวมัวหมองที่สุดของวงการตำรวจในรอบปี จนเกิดคำถามว่า “แล้วประชาชนจะพึ่งใคร?” เมื่อความไว้วางใจในกระบวนการยุติธรรมสั่นคลอน ความมั่นใจในการใช้ชีวิตอย่างมั่นคง ปลอดภัยของผู้คนย่อมเสื่อมลงไปเช่นกัน
7. นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน อดีตรองประธานสภาผู้แทน ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยพ้นจากตำแหน่ง เพราะ “ทำผิดรัฐธรรมนูญ” จากการเสนองบประมาณโครงการที่มีลักษณะเป็นการจัดงบ เพื่อลงพื้นที่ตัวเอง เข้าข่ายมีส่วนได้เสียในใช้งบประมาณมูลค่า 443 ล้านบาท ในปี 68 พฤติกรรมเช่นนี้เป็นเรื่องปรกติของรัฐสภาไทย เพียงแต่ไม่ถูกเปิดเผยและเป็นคดี ทำให้งบประมาณกระจุกตัวในพื้นที่ของนักการเมืองบางคน สร้างความไม่เป็นธรรมแก่คนไทยทั้งประเทศ
8. สำนักงานประกันสังคม กับข่าวฉาวในการจัดทำปฏิทินปีละ 50 ล้านบาท ซื้อตึกเก่า 7 พันล้านบาท แพงกว่าราคาตลาดเท่าตัว จ้างทำแอปพลิเคชันแพงเว่อร์มูลค่า 850 ล้านบาท และที่ลืมไม่ได้คือ ความพยายามขาย “หุ้นบางจาก” ให้กับบริษัท ชาเตอร์ กรุ๊ป จนตกเป็นข่าวอื้อฉาว ทั้งนี้ อย่าลืมว่า ความมั่นคงและทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงของสำนักงานประกันสังคม คือหลักประกันในชีวิตและสุขภาพของประชาชนกว่า 24.8 ล้านคนที่ควักเงินจ่ายคนละ 750 บาทต่อเดือน
9. ห้องลับในเรือนจำ เพื่อบริการนักโทษ VVIP ตามบงการของ ผบ. เรือนจำ ข่าวนี้ตอกย้ำอีกครั้งว่าเรือนจำว่าแทบทุกแห่งเต็มไปด้วยการ “โกงเงินหลวง” และ “รับส่วยสินบนจากนักโทษ” เพื่อสิทธิพิเศษ ที่ใคร ๆ ก็รู้ แต่ผู้มีอำนาจต่างช่วยกันปฏิเสธตลอดมา เช่น เลื่อนชั้นนักโทษ ย้ายเข้าโรงพยาบาลทั้งที่ไม่ป่วยจริง ทุจริตค่าอาหาร การก่อสร้าง ฯลฯ
10. 3 ป. จับสด เจ้าหน้าที่รัฐเก็บส่วย/ รับสินบน/ รีดไถ/ โกงหลวง ผลงานหลายสิบคดีที่เกิดขึ้นได้สะท้อนถึงความละโมบไม่เกรงกลัวกฎหมายของเจ้าหน้าที่รัฐ เช่น จับนักการเมืองท้องถิ่น ผู้มีอิทธิพลบุกรุกป่า พระชั้นผู้ใหญ่โกงเงินวัด เป็นต้น ดังนั้นการจับสดจึงเป็นก้าวใหม่ของความร่วมมือระหว่างตำรวจ ป.ป.ช., กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ที่คนไทยขอปรบมือให้
นายมานะ กล่าวว่า ตลอดปี 68 ยังปรากฏข่าวที่น่าเป็นห่วงถึงอนาคตของชาติว่าจะเดินต่อไปอย่างไร ประกอบด้วย
- เรื่องแรก การปล่อยผีสองคดีสินบนข้ามชาติ คือ คดีสวนปาล์มที่อินโดนีเซียและคดีสินบนโรลล์ รอยส์ ในบมจ. ปตท. (PTT) อีกคดีดังคือคดีฮั้วประมูลสร้างโรงพักทั่วประเทศ 6 พันล้านบาท ทั้งหมดนี้เอาผิดผู้บงการไม่ได้เลย
- เรื่องที่สอง ศึกเขากระโดงและคดีฮั้ว สว. เป็นพฤติกรรมชัดแจ้งในการใช้อำนาจของหน่วยงานรัฐและข้าราชการ มาเป็นเครื่องต่อรอง ทำลายล้างทางการเมือง จนหลักนิติรัฐของไทยตกต่ำ
- เรื่องที่สาม ความพยายามแก้สัญญาสัมปทานร้านค้าดิวตี้ฟรี และสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน เป็นเรื่องน่ากังขาว่า อะไรสำคัญกว่ากันระหว่างผลประโยชน์ของชาติกับผลประโยชน์ทางธุรกิจของพวกพ้อง กฎหมายและธรรมาภิบาลในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐคืออะไรกันแน่ ทั้งสองโครงการจะเป็นเครื่องพิสูจน์ศักดิ์ศรีของไทยในสายตานานาชาติ
นอกจากนี้ ยังมีข่าวการเมืองการเลือกตั้งในรอบปี เริ่มจากวาทะดังออกสื่อของผู้ชนะเลือกตั้งเทศบาลธัญญบุรี ว่า “ชาวบ้านชอบกินหญ้าหวาน” อย่างไม่ละอายใจน่าอดสูอย่างยิ่ง และอีกปรากฏการณ์ที่ต้องจับตาว่า คนไทยตื่นตัวเพียงใดในการเลือกตั้ง สส. ทั่วไปที่จะมาถึงนี้ คือเราจะต่อต้านพวกใช้เงินสกปรกจากธุรกิจผิดกฎหมายและทุนเทา มาซื้อเสียง ซื้อตัวนักการเมือง ได้อย่างไร หากหยุดไม่ได้คนโกงจะแปลงร่างเป็นนักการเมืองเข้าปกครองประเทศอย่างแน่นอน
“ความเห็นส่วนตัวผมคิดว่า ข่าวการยึดและอายัดทรัพย์ 3 เครือข่ายสแกมเมอร์กว่าหมื่นล้านบาท ของวงการธุรกิจผิดกฎหมายพวกฟอกเงินนั้นได้สร้างผลกระทบต่อสังคมในระดับโครงสร้าง เพราะเข้าไปเชื่อมต่อผลประโยชน์กับคนหลากหลายกลุ่ม และเอื้อประโยชน์ให้เกิดทุนเทาเข้าไปบั่นทอนกลไกการเมืองและไหลลามต่อกลไกเศรษฐกิจ ท้ายที่สุดย่อมส่งผลต่อความอยู่ดีมีสุขของประชาชน” นายมานะ กล่าว
นายมานะ กล่าวว่า ในการเลือกตั้ง อบต. วันที่ 11 ม.ค. 69 และเลือกตั้ง สส. ทั่วประเทศ วันที่ 8 ก.พ. 69 นี้ ขอให้คนไทยมาทำให้ 1 สิทธิ์ที่มีเป็น “1 สิทธิ์พลิกชีวิตมหาศาล” เลือกคนเก่ง คนดี เข้ามาทำงานรับใช้บ้านเมือง หยุดเลือกตั้งแบบเดิม ๆ ที่กาให้คนซื้อเสียง คนของบ้านใหญ่นักการเมือง ผู้มีอิทธิพล คนที่มีประวัติคดโกงทำมาหากินผิดกฎหมาย
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (25 ธ.ค. 68)




