
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่าแม้การปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะช่วยลดต้นทุนทางการเงินและหนุนความสามารถในการชำระคืนหนี้ของลูกหนี้ อย่างไรก็ดีสินเชื่อในปี 2569 จะยังคงมีโอกาสหดตัวลง -0.7% (นับเป็นการหดตัวของสินเชื่อติดต่อกันเป็นปีที่ 3) เนื่องจากการเบิกใช้สินเชื่อไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านต้นทุนดอกเบี้ยเพียงปัจจัยเดียว แต่สถานการณ์เศรษฐกิจ รายได้ ความเสี่ยงด้านเครดิต ตลอดจนความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ ก็ล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะมีผลต่อแนวโน้มของสินเชื่อด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ คาดว่า สัดส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพหรือ NPL Ratio ในปี 2569 จะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องที่กรอบ 2.80-2.97% ของสินเชื่อรวม โดยต้องติดตามความสามารถในการชำระหนี้และคุณภาพของพอร์ตสินเชื่อ SME และรายย่อยอย่างใกล้ชิด เนื่องจากสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอน ขณะที่ การลดดอกเบี้ยอาจช่วยเพิ่มโอกาสในการชำระหนี้ให้กับลูกหนี้ แต่คงต้องเดินควบคู่ไปกับการประคองทิศทางเศรษฐกิจ การดูแลปรับโครงสร้างเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ และเร่งผลักดันกลไกการค้ำประกันเพื่อช่วยลดความเสี่ยงของการปล่อยสินเชื่อเพื่อหนุนให้สินเชื่อทยอยฟื้นตัวกลับมา
ทั้งนี้ตลอดทั้งปี 2568 ธนาคารพาณิชย์ทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง 4 ครั้ง ตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยการลดดอกเบี้ยแบงก์รอบล่าสุด เริ่มมีผลแล้วตั้งแต่ช่วงวันที่ 22-24 ธันวาคม 2568 อย่างไรก็ดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า ผลบวกสุทธิต่อลูกหนี้จะทยอยเกิดขึ้นในปี 2569 โดยคาดว่า ภาระดอกเบี้ยของลูกหนี้ธุรกิจและรายย่อย จะปรับลดลงรวมกันประมาณ 3,800-4,800 ล้านบาทภายในครึ่งแรกของปี 2569
อย่างไรก็ดี คาดว่า การปรับลดดอกเบี้ยเพียงปัจจัยเดียว อาจมีผลค่อนข้างจำกัดต่อทิศทางการปล่อยสินเชื่อใหม่ เพราะการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาพรวมยังเปราะบาง โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคงตัวเลขคาดการณ์สินเชื่อระบบแบงก์ไทยในปี 2569 ไว้ที่ -0.7% ตามเดิม
นอกจากนี้ ยังต้องติดตามความสามารถในการชำระหนี้ของกลุ่ม SME และรายย่อยอย่างใกล้ชิด ขณะที่คาดว่าสัดส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพหรือ NPL Ratio ในปี 2569 จะยังคงอยู่ในระดับสูงที่ประมาณ 2.80-2.97% ของสินเชื่อรวม
- คาดลูกหนี้ธุรกิจและรายย่อย ภาระดอกเบี้ยลดลง 3,800-4,800 ลบ.ภายในช่วง H1/69
ภาพรวมตลอดทั้งปี 2568 ธนาคารพาณิชย์ทยอยประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR, MOR, MRR ลงมาแล้วประมาณ 0.40-0.90% ตาม 4 รอบการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของกนง. โดยการลดดอกเบี้ยเงินกู้ของแบงก์รอบล่าสุด เริ่มมีผลแล้วตั้งแต่ช่วงวันที่ 22-24 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา แต่อานิสงส์จากดอกเบี้ยที่ลดที่จะส่งผ่านไปให้ลูกหนี้ในปี 2568 ยังคงจำกัด เนื่องจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเกิดขึ้นในช่วงปลายปี จึงมีระยะเวลาไม่มากพอที่จะส่งผลบวกต่อลูกหนี้เพิ่มเติมอย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า ผลบวกจากการลดดอกเบี้ยจะค่อย ๆ ปรากฏชัดเจนและขยายวงกว้างมากขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2569 ซึ่งเป็นช่วงที่รอบการปรับดอกเบี้ยของลูกหนี้หลายกลุ่มจะเริ่มมีผลตามรอบกำหนดของสัญญาเงินกู้ โดยเฉพาะในกลุ่มสินเชื่อธุรกิจและสินเชื่อรายย่อยที่มียอดคงค้างสินเชื่อรวมกันประมาณ 12.5 ล้านล้านบาท ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ประมาณ 67% ของวงเงินดังกล่าวจะเข้าสู่ช่วงการปรับอัตราดอกเบี้ยภายในครึ่งแรกของปี 2569
ซึ่งทำให้ภาระดอกเบี้ยของลูกหนี้ธุรกิจและลูกหนี้รายย่อยลดลงอีกประมาณ 3,800-4,800 ล้านบาท เพิ่มเติมจากผลของการลดดอกเบี้ยที่ช่วยแบ่งเบาภาระลูกหนี้ประมาณ 17,000-19,500 ล้านบาทในปี 2568
แม้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงจะสร้างสัญญาณเชิงบวกต่อภาระต้นทุนทางการเงิน แต่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า แนวโน้มการฟื้นตัวของสินเชื่อในปี 2569 ยังคงเผชิญข้อจำกัดหลายประการ ทั้งจากพฤติกรรมผู้กู้ที่ยังก่อหนี้เพิ่มอย่างระมัดระวัง ความเปราะบางของภาวะเศรษฐกิจ และการปล่อยสินเชื่อตามแนวทางที่สอดคล้องกับศักยภาพลูกหนี้ของสถาบันการเงิน สะท้อนให้เห็นว่า ต้นทุนดอกเบี้ยเพียงปัจจัยเดียวอาจไม่เพียงพอที่จะหนุนการฟื้นตัวของสินเชื่อ หากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจและความเสี่ยงยังไม่เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ
พฤติกรรมผู้กู้ยังอยู่ในภาวะระมัดระวัง แม้ต้นทุนทางการเงินจะทยอยลดลง การปรับลดอัตราดอกเบี้ยแม้จะช่วยลดภาระต้นทุนการกู้ยืม แต่ในเชิงพฤติกรรมผู้กู้จำนวนมากยังคงชะลอการตัดสินใจก่อหนี้เพิ่มเติมซึ่งจะกลายเป็นภาระผูกพันระยะยาว โดยเฉพาะในกลุ่ม SME ที่การฟื้นตัวของรายได้มีความไม่แน่นอนกว่ากลุ่มธุรกิจรายใหญ่ สะท้อนจากดัชนี Diffusion Index ด้านความต้องการสินเชื่อของ SME ที่มีทิศทางชะลอลงตั้งแต่ช่วงกลางปี 2568 แม้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้จะยังคงทยอยลดลง
สัญญาณเศรษฐกิจที่มีความเปราะบาง และข้อจำกัดเชิงโครงสร้างของภาคการผลิต จำกัดการฟื้นตัวของสินเชื่อ โดยกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ยังเผชิญแรงกดดัน ทั้งจากกำลังซื้อภายในประเทศที่อ่อนแรงและความเสี่ยงในภาคการผลิตและการส่งออก มีผลกระทบต่อเนื่องต่อบรรยากาศการลงทุนและการเบิกใช้สินเชื่อของภาคธุรกิจ ซึ่งทำให้สถานการณ์ Debt Deleveraging ยังดำเนินต่อไปในปี 2569
แนวทางการปล่อยสินเชื่อที่สอดคล้องกับศักยภาพลูกหนี้ ทั้งนี้ แนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่ชะลอลงในปี 2569 อาจมีผลกระทบต่อความเสี่ยงด้านเครดิตของลูกหนี้หลายกลุ่ม โดยเฉพาะ ธุรกิจ SME และครัวเรือนรายย่อยที่รายได้ไม่มั่นคง ซึ่งทำให้คาดว่า ธนาคารพาณิชย์ รวมถึงสถาบันการเงินอื่น ๆ จะยังคงเน้นแนวทางการพิจารณาสินเชื่อใหม่อย่างรอบคอบ ควบคู่กับการดูแลลูกหนี้และจัดการคุณภาพของพอร์ตสินเชื่อ (Asset Quality)
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า สินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศ หรือระบบแบงก์ไทย ในปี 2569 จะหดตัวลงติดต่อกันเป็นปีที่ 3 ที่ -0.7% ต่อเนื่องจากที่คาดว่าจะปิดปี 2568 ที่ -2.3% สอดคล้องกับหลายปัจจัยเสี่ยงที่มีผลกระทบต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย
สินเชื่อธุรกิจอาจกลับมาขยายตัวที่ 0.2% ในปี 2569 นำโดย สินเชื่อธุรกิจรายใหญ่ที่มีโอกาสฟื้นตัวได้เร็วกว่าสินเชื่อ SME โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า สินเชื่อธุรกิจรายใหญ่จะกลับมาขยายตัวที่ 2.0% ในปี 2569 ขณะที่สินเชื่อ SME อาจยังคงหดตัวต่อเนื่องที่ -4.0% ทั้งนี้แรงส่งสำคัญของสินเชื่อธุรกิจอาจเริ่มจากการทยอยเบิกใช้วงเงินเพื่อเป็นทุนหมุนเวียนและการลงทุนในบางกลุ่มอุตสาหกรรมของผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีความพร้อมด้านแผนการขยายธุรกิจ ขณะที่ภาพรวมของสินเชื่อ SME ยังคงเผชิญข้อจำกัดจากการฟื้นตัวของกิจกรรมเศรษฐกิจที่ไม่ทั่วถึง รวมถึงแรงกดดันเฉพาะหน้า ทั้งจากกำลังซื้อในประเทศที่ยังไม่ฟื้นเต็มที่ และการแข่งขันทางธุรกิจที่เข้มข้นขึ้นในหลายภาคส่วน
ส่วนสินเชื่อรายย่อยปี 2569 คาดว่าจะหดตัวลงต่อเนื่องที่ -1.0% เนื่องจากข้อจำกัดด้านกำลังซื้อ รายได้และความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนที่ยังเปราะบาง โดยคาดว่า สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ฯ จะหดตัวลง -0.5% และ -8.0% ตามลำดับ เนื่องจากการฟื้นตัวของสินเชื่อที่มีวงเงินต่อสัญญาสูง (Big-Ticket Items) กลุ่มนี้จะต้องอาศัยความเชื่อมั่นในรายได้ระยะยาวของผู้กู้ ขณะที่ แม้จะคาดว่า สินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกันและสินเชื่อบัตรเครดิต อาจขยายตัวที่ 0.7% และ 1.2% ในปี 2569 ตามลำดับ แต่ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเทียบกับฐานที่ต่ำในปี 2568 ขณะที่ สินเชื่อบุคคลที่มีหลักประกัน (อาทิ บ้าน รถ และสินทรัพย์อื่น) ที่มีความเสี่ยงน้อยกว่า อาจประคองการเติบโตได้ดีกว่า โดยเฉพาะในบริบทที่สถาบันการเงินยังคงต้องให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงและการดูแลความสามารถในการชำระคืนหนี้ของลูกหนี้
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (26 ธ.ค. 68)



