
นางยุน หลิว นักเศรษฐศาสตร์ประจำภูมิภาคอาเซียน ฝ่ายวิจัยการลงทุนระดับโลก ธนาคารเอชเอสบีซี กล่าวว่า นับตั้งแต่ปี 63 อาเซียนก้าวขึ้นมาเป็นคู่ค้าที่ใหญ่ที่สุดของจีนแซงหน้าสหภาพยุโรป โดยข้อมูลล่าสุดชี้ว่าการค้าทวิภาคีในปี 68 มีแนวโน้มทำสถิติใหม่สูงกว่าปี 67 ที่อยู่ที่ 984,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 30.7 ล้านล้านบาท
แม้อาเซียนจะขาดดุลการค้ากับจีนมากขึ้น แต่เบื้องหลังตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นถึงการเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (E&E) ซึ่งคิดเป็น 30% ทั้งของการส่งออกและการนำเข้า ซึ่งส่งผลบวกอย่างชัดเจนต่อเศรษฐกิจที่มีฐานเทคโนโลยีแข็งแกร่งอย่างสิงคโปร์ มาเลเซีย และเวียดนาม
ในขณะเดียวกัน อาเซียนก็มีการเกินดุลการค้ากับจีนในสินค้าเกษตรและสินค้าโภคภัณฑ์ โดยการส่งออกไปยังจีนของอินโดนีเซียยังคงเป็นสินค้าในภาคสินค้าโภคภัณฑ์เป็นหลัก ขณะที่ไทยและฟิลิปปินส์มีจุดแข็งในภาคเกษตรมาแต่เดิม และเวียดนามก็กำลังไล่ตามอย่างรวดเร็วภายหลังลงนามข้อตกลงหลายฉบับกับจีน
อย่างไรก็ตาม การเติบโตที่แข็งแกร่งที่สุดกลับมาจาก “ทุเรียน” ที่ผลไม้ที่ไม่ใช่สินค้าเกษตรดั้งเดิม หลังตลาดทุเรียนในประเทศจีน กลายเป็นตลาดมูลค่าหลายพันล้านเหรียญสหรัฐฯ ทั้งนี้ แม้ผู้ส่งออกไทยจะครองตลาดมาตั้งแต่ปี 48 แต่การแข่งขันก็ทวีความดุเดือดขึ้น โดยเวียดนามจากที่ไม่เคยส่งออกทุเรียนไปจีนเลยจนกระทั่งปี 63 แต่เมื่อเห็นว่าตลาดนี้ทำเงินได้มหาศาล การส่งออกทุเรียนของเวียดนามไปยังจีนก็พุ่งสูงขึ้นถึง 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือกว่า 93,600 ล้านบาท ในปี 67 โดยส่วนแบ่งตลาดในจีนของเวียดนามพุ่งจาก 0% เป็นกว่า 40% ในเวลาเพียง 3 ปี และปัจจุบันมาเลเซียซึ่งมีชื่อเสียงในทุเรียนสายพันธุ์มูซังคิงก็เข้าร่วมชิงส่วนแบ่งการตลาดทุเรียนในประเทศจีนด้วยหลังจากตกลงส่งออกทุเรียนสดตั้งแต่ส.ค. 67
ขณะที่ภายหลังจากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในภูมิภาคอาเซียนซบเซามาเป็นเวลานานหลายปี ความตึงเครียดของสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 61 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของภูมิภาคอาเซียน ที่ทำให้อาเซียน 6 ประเทศหลักหรือ ASEAN – 6 สามารถดึงดูด FDI ได้ 14.5% ของ FDI ทั่วโลก ซึ่ง 65% ของเม็ดเงินลงทุนนั้นไหลเข้าไปยังสิงคโปร์
ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ ส่งผลให้จีนเร่งลงทุนในอาเซียนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยหากดูตัวเลขในภาคการผลิต จะพบว่าสัดส่วน FDI จากจีนในพอร์ตการลงทุนของแต่ละประเทศในอาเซียนจากแทบไม่ถึง 10% ในปี 58 ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยปัจจุบัน ไทย อินโดนีเซีย และเวียดนามมีสัดส่วน FDI จากจีนพุ่งสูงเกิน 25% ของจำนวน FDI ที่เข้ามาในประเทศทั้งหมด
แม้สัดส่วน FDI จากจีนในมาเลเซียและสิงคโปร์จะยังไม่โดดเด่นนัก เนื่องจากได้รับเม็ดเงินการลงทุนจากประเทศในฝั่งตะวันตกในภาคเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (E&E)เป็นจำนวนมหาศาล แต่บทบาทของการลงทุนจากจีนยังมีความสำคัญชัดเจน อย่างไรก็ตาม การเติบโตของ FDI จากจีนในอาเซียนนี้ไม่ได้รวมถึงฟิลิปปินส์ เนื่องจากการลงทุนจากจีนในฟิลิปปินส์ยังอยู่ในระดับไม่สูงนัก
โดยทิศทางการลงทุนจากจีนในประเทศในอาเซียนแตกต่างกันไปตามจุดเด่นของแต่ละประเทศ เช่น ในอินโดนีเซีย การลงทุนจากจีนจากผู้ผลิตแบตเตอรี่ EV ชั้นนำอย่าง CATL และผู้ผลิตสแตนเลสอย่าง Tsingshan มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมหลอมนิกเกิล ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตแบตเตอรี่ของรถไฟฟ้า EV
สำหรับประเทศไทยนั้น ผู้ผลิตรถไฟฟ้า EV ชั้นนำของจีนอย่าง BYD, Great Wall Motor และ SAIC มองไทยเป็นฐานในการตั้งโรงงานผลิต ส่วนมาเลเซียซึ่งแข่งขันในตลาดการผลิตรถไฟฟ้า EV เช่นกัน ก็ดึงดูดการลงทุนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Sector) ขณะที่นักลงทุนจากจีนมองหาโอกาสขยายกำลังการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภคในประเทศเวียดนาม
คำถามที่ลูกค้าถามมายังธนาคารเอชเอสบีซีเป็นจำนวนมาก คือ กลยุทธ์ “China+1” จะดำเนินต่อไปได้หรือไม่ท่ามกลางนโยบายกำแพงภาษียุค Trump 2.0 ทั้งนี้ แม้ขณะนี้จะยังเร็วไปที่จะสรุป แต่ข้อมูลก็บ่งชี้ว่ากลยุทธ์ China+1 จะดำเนินต่อไปได้ เนื่องจากการค้ายังคงเติบโตต่อเนื่อง และแนวโน้มการเติบโตของ FDI ยิ่งมากขึ้น
สิ่งที่ทำให้แปลกใจ คือ ประเทศไทยมีการขอรับส่งเสริมการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเพิ่มสูงจนมีมูลค่าเกือบ 7% ของ GDP ของประเทศไทย โดย 40% ของการขอรับส่งเสริมการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ มาจาก “ภาคดิจิทัล” ซึ่งคาดว่ามาจากการลงทุนในดาต้าเซ็นเตอร์ โดยการลงทุนจากจีนคิดเป็นเกือบ 40% ของมูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่ได้รับการอนุมัติทั้งหมดของไทย ตั้งแต่ต้นปี 68 ที่น่าสนใจคือส่วนใหญ่ลงทุนในภาคผลิตภัณฑ์โลหะ, ภาคเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (E&E), และภาคดิจิทัล อย่างไรก็ตาม ยังไม่แน่ชัดว่าแนวโน้มนี้จะดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่องและเติบโตในระดับสูงเช่นนี้ได้หรือไม่ไ เมื่อพิจารณาจากความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา และการเลือกตั้งที่จะมาถึงในเดือนก.พ. 69 เช่นเดียวกับมาเลเซีย มูลค่าการลงทุนโดยตรงจากจีนพุ่งสูงขึ้นช่วยผลักดันพอร์ต FDI รวมของประเทศ ณ ไตรมาส 3/68
ส่วนเวียดนาม กระแส FDI ใหม่จากจีนที่ไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่องช่วยชดเชยการลงทุนที่ลดลง ทั้งนี้ สิ่งสำคัญสำหรับอาเซียนไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องการย้ายฐานการผลิตเท่านั้น แต่ยังเป็นประเด็นที่ว่าว่าภูมิภาคอาเซียนจะสามารถเปลี่ยนแนวโน้มนี้ให้เป็นส่วนแบ่งตลาดที่ใหญ่ขึ้นในระดับโลกได้สำเร็จมากน้อยเพียงใด
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (29 ธ.ค. 68)





