เลือกตั้ง’69: “ศรีสุวรรณ” บุกกกต.สอบพรรคส้ม ปมผู้สมัครเอี่ยวฟอกเงิน จี้ตรวจเส้นทางเงินบริจาค

นายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติรักแผ่นดิน เดินทางเข้ายื่นคำร้องแจ้งเบาะแสต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และนายทะเบียนพรรคการเมือง เพื่อขอให้ไต่สวนสอบสวนพรรคประชาชน (ปชน.) กรณีปรากฎเป็นการทั่วไปต่อการที่นายบุญฤทธิ์ เรารุ่งโรจน์ อดีตผู้สมัคร สส.กทม. เขต 33 (บางพลัด-บางกอกน้อย) ในนามพรรคประชาชนถูกตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) เข้าจับกุมในปฏิบัติการ Black Mirror TKP โดยถูกกล่าวหาว่าพัวพันคดีฟอกเงินเครือข่ายยาเสพติดข้ามชาติมูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท อันถือได้ว่าเป็นการบ่อนทำลายความมั่นคง-เศรษฐกิจของชาติหรือราชการแผ่นดิน หรือเป็นการส่งเสริมสนับสนุนการคุกคามต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน อันเป็นข้อห้ามตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 หรือไม่

ความผิดอันเนื่องมาจากการค้ายาเสพติดและการฟอกเงินเป็นเรื่องใหญ่ที่กระทบต่อความมั่นคง ความสงบเรียบร้อย และศีลธรรมอันดีของสังคมไทย การที่พรรคประชาชน ในฐานะพรรคการเมืองต้นสังกัดของนายบุญฤทธิ์จะปฏิเสธความรับผิดชอบต่อข้อกล่าวหาที่มีผลมาจากการกระทำตามกรณีที่เกิดขึ้นมิได้ เนื่องจากเป็นถึงสมาชิกและผู้สมัคร สส.ของพรรคที่ได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการบริหารพรรคให้เป็นผู้สมัคร สส.ในนามพรรคประชาชนไปแล้ว (แม้จะลาออกจากสมาชิกพรรคแล้วก็ตาม) ย่อมต้องผ่านการตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ จริยธรรมและกลั่นกรองคุณสมบัติมาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ซึ่ง บช.ปส.ระบุว่านายบุญฤทธิ์มีชื่อเป็นกรรมการบริษัทที่ไขว้กันไปมาหลายบริษัทและมีเส้นทางการเงินเชื่อมโยงกับเครือข่ายยาเสพติดที่ถูก บช.ปส.จับกุมก่อนหน้านี้ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สามารถตรวจสอบได้ในฐานข้อมูลหน่วยงานรัฐ ไม่ใช่เป็นแค่ข่าวในโซเชียลเท่านั้น

โดยสังคมได้ตั้งคำถามอย่างตรงไปตรงมาคือ พรรคประชาชนปล่อยให้บุคคลที่มีการกระทำหรือมีพฤติการณ์อันเป็นความเสี่ยงระดับนี้ผ่านการคัดเลือกจนเป็นว่าที่ผู้แทนประชาชนได้อย่างไร การที่พรรคอ้างว่าได้ “ขับออก” และ “เปลี่ยนตัวผู้สมัคร” หลังจากตำรวจบุกจับแล้วนั้น นี่ไม่ใช่จริยธรรม แต่คือการตัดตอนเพื่อเอาตัวรอดใช่หรือไม่ และการขับออกเพราะกลัวความเสี่ยงต่อการถูกยุบพรรคใช่หรือไม่ ทั้ง ๆ ที่เหตุที่เกิดบุคคลดังกล่าวยังเป็นสมาชิกพรรค และพรรคยังส่งไปมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วย สส.ไปเป็นที่ปรึกษากรรมาธิการอีกหลายคณะ ซึ่งถือได้ว่าหากมีความผิดก็เป็นความผิดที่สำเร็จไปแล้ว การขับออก หรือให้ลาออก และเปลี่ยนตัวผู้สมัครฯ ไม่อาจหลุดพ้นไปจากเงื้อมมือของกฎหมายว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 ได้

ด้วยเหตุดังกล่าว องค์การรักชาติรักแผ่นดิน จึงนำความมาร้องเรียนและชี้เบาะแสให้นายทะเบียนพรรคการเมืองและ กกต.ได้ทำการไต่สวนและสอบสวนตรวจสอบการกระทำในกรณีดังกล่าว โดยเฉพาะเส้นทางเงินของนายบุญฤทธิ์ว่ามีการบริจาคให้พรรคประชาชนด้วยหรือไม่ เพราะอาจเข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 44 และหรือมาตรา 45 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 หรือไม่ หากตรวจพบเป็นไปตามเบาะแสนี้แล้ว อาจนำไปสู่การเสนอเรื่องเพื่อยุบพรรคการเมืองที่ฝ่าฝืนมาตราดังกล่าวได้ ตามมาตรา 92(3) ของกฎหมายดังกล่าวต่อไป

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (30 ธ.ค. 68)