หุ้นไทยแนวโน้มดัชนีเช้าแกว่งไซด์เวย์ซึมลงขาดปัจจัยใหม่ ทิศทางเศรษฐกิจไทยชะลอตัวกดดัน

นักวิเคราะห์ฯ คาดแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้แกว่งตัวไซด์เวย์ ลักษณะซึมตัว โดยยังไร้ปัจจัยใหม่ทั้งในและต่างประเทศ ทำให้ทิศทางของดัชนีเป็นการแกว่งตัวออกข้างเพื่อรอปัจจัยใหม่ ประกอบกับยังมีปัจจัยกดดันตลาดหุ้นไทย จากคาดการณ์เศรษฐกิจในระยะต่อไปจะชะลอตัวลง ส่งผลกระทบกดดันต่อหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคในประเทศ และกดดันต่อตลาดหุ้นไทย พร้อมให้แนวต้าน 1,185-1,190 จุด แนวรับ 1,170-1,175 จุด

นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน (บลป.) เอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้คาดว่าแกว่งไซด์เวย์ ลักษณะซึมตัว โดยยังไม่มีปัจจัยใหม่ทั้งปัจจัยในประเทศ และต่างประเทศ ทำให้ทิศทางของดัชนีเป็นลักษณะแกว่งตัวออกข้าง เพื่อรอปัจจัยใหม่

ขณะเดียวกันปัจจัยในประเทศยังคงมีแรงกดดันอยู่บ้างจากการคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจในระยะต่อไปที่อาจจะชะลอตัวลง กระทบต่อหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคในประเทศ ทำให้เป็นปัจจัยที่ยังกดดันดัชนีอยู่ ส่วนตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เปิดมาส่วนใหญ่ปรับตัวลงตามตลาดหุ้นสหรัฐเมื่อคืนนี้

โดยให้แนวต้าน 1,185-1,190 จุด แนวรับ 1,170-1,175 จุด

*ประเด็นพิจารณาการลงทุน

– ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (21 พ.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 41,860.44 จุด ลดลง 816.80 จุด หรือ -1.91%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,844.61 จุด ลดลง 95.85 จุด หรือ -1.61% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 18,872.64 จุด ลดลง 270.07 จุด หรือ -1.41%

– ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดที่ระดับ 36,931.89 จุด ลดลง 367.09 จุด หรือ -0.98%, ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดที่ระดับ 23,748.58 จุด ลดลง 79.20 จุด หรือ -0.33% และดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนเปิดที่ระดับ 3,381.86 จุด ลดลง 5.71 จุด หรือ -0.17%

– ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (21 พ.ค.) 1,179.81 จุด ลดลง 9.33 จุด (-0.78%) มูลค่าซื้อขาย 46,877.46 ล้านบาท

– นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ (21 พ.ค.) 364.82 ล้านบาท

– ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย. (21 พ.ค.) ลดลง 46 เซนต์ หรือ 0.74% ปิดที่ 61.57 ดอลลาร์/บาร์เรล

– ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (21 พ.ค.) 6.09 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล

– เงินบาทเปิด 32.64 แนวโน้มแกว่งในกรอบ 32.60-32.90 จับตาทิศทาง Flow-ราคาทอง

– “เงินบาทแข็ง” แตะ 32.70 บาทต่อดอลลาร์ สูงสุดรอบสัปดาห์ สวนทางพื้นฐานเศรษฐกิจไทยเปราะบาง “ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” ชี้เงินบาทแข็งจากราคาทองคำพุ่ง-ดอลลาร์อ่อนค่า หวั่นบาทแข็งเร็วกระทบรายได้ส่งออกทรุด “กรุงไทย” ชี้บาทแข็งผิดปกติอันดับต้นภูมิภาค “ผู้ส่งออกไทย” ห่วงตั้งราคารับคำสั่งซื้อ เร่งทำประกันค่าเงินลดความเสี่ยง

– ลุ้นบ่ายวันนี้ ศาลปกครองสูงสุดนัดชี้ขาด “ยิ่งลักษณ์” ต้องชดใช้เงิน 3.5 หมื่นล้านบาท คดีทุจริตจำนำข้าวหรือไม่ หลังกระทรวงการคลังยื่นอุทธรณ์ เผยคดีนี้ศาลปกครองชั้นต้นเคยเพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลังไปแล้ว เหตุกระทรวงการคลังขาดหลักฐานชัดที่ผู้กระทำผิดก่อให้เกิดความเสียหายโดยตรง

– รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า กระทรวงการท่องเที่ยวฯ จะยื่นของบประมาณเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวผ่านการใช้งบกระตุ้นเศรษฐกิจ 157,000 บาท ในวงเงิน 3,180 ล้านบาท โดยจะยื่นขอตามกำหนดภายในสิ้นเดือน พ.ค.นี้ ทั้งนี้ จากเดิมได้ขอใช้เพื่อดำเนินโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง 3,500 ล้านบาท โดยได้พิจารณาปรับลดวงเงินลงมาเพื่อดำเนิน 3 โครงการกระตุ้นการท่องเที่ยวทั้งตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศ โดยโครงการทั้งหมดจะเริ่มวันที่ 1 ก.ค.2568 ได้แก่ 1.เที่ยวไทยคนละครึ่ง 1 ล้านสิทธิ ใช้งบ 1,780 ล้านบาท รัฐบาลสมทบเที่ยวเมืองหลัก 40% เมืองรองหรือเมืองน่าเที่ยว 50% จำกัดสูงสุด 6 สิทธิต่อคนต่อสิทธิ 2.การสนับสนุนแพลตฟอร์มท่องเที่ยวออนไลน์ (โอทีเอ) จำนวน 21 ราย 270 ล้านบาท 3.โครงการส่งเสริมตลาดจีน

– ‘พิชัย’ เผยนอมินีทุบเศรษฐกิจไทยพัง 1.5 หมื่นล้านบาท ลุยจับสินค้าเถื่อนออนไลน์เกือบ 4 หมื่นราย สร้างความเสียหายกว่า 2 พันล้านบาท

*หุ้นเด่นวันนี้

– ADVANC (ฟินันเซีย ไซรัส) “ซื้อ” ราคาเป้าหมายเฉลี่ย consensus 313 บาท หลังจากรายงานกำไร ไตรมาส 1/68 แข็งแกร่งกว่าคาด ตลาดมีการปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2568 เฉลี่ยราว 5-7% เป็น 4.0-4.3 หมื่นลบ. เติบโต 16-20% y-y กำลังซื้อในประเทศที่อ่อนแอ อาจกระทบต่อการปรับราคาแพคเก็จอยู่บ้าง แต่เราเชื่อว่าบริษัทมีความสามารถในการลดต้นทุนและค่าใช้จ่าย รวมถึงราคาค่าบริการมีความยืดหยุ่นมากพอที่จะปรับได้ ซึ่งดีกว่าสินค้าอื่น แนวโน้มกำไรไตรมาส 2/68 ยังแกร่ง การประมูลคลื่นความถี่ หากไม่แข่งแรง จะเป็น upside ต่อประมาณการ

– PIS (ลิเบอเรเตอร์) ราคาเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 5.10 บาท กำไรไตรมาส 1/68 เด่น (+102%q-q, +198%y-y) จากรายได้ที่ขยายตัวดีตามการรับงานขนาดใหญ่ของภาครัฐฯ ผสานการประหยัดต่อขนาดมากขึ้นเรื่อยๆ (SG&A/sales ลดลง)

Backlog สูงราว 5,560 ล้านบาท และจะมีงานประมูลเพิ่มเติมอีกในปีนี้อีกราว 4,000 ล้านบาท ขณะที่ Valuation ยังอยู่ในระดับที่ไม่แพง โดยเทรด 2025 Forward PE เพียง 7.9 เท่า น่าทยอยสะสม

– KCG (คิงส์ฟอร์ด) “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 11.34 บาท กำไรสุทธิไตรมาส 1/68 อยู่ที่ 122 ลบ.(+71%YoY, -25%QoQ) อ่อนตัว QoQ ตามฤดูกาล แต่ YoY โตได้หนุนจากสินค้ากลุ่ม Food and Bakery Ingredient ด้าน KCG* เอง วางเป้ารายได้ปี68นี้ +High Single Digit%YoY ปัจจัยขับเคลื่อนหลักจะมาจากสินค้าใหม่ๆ การหาตัวแทนกระจายสินค้าเพิ่มเติม และการให้ความสำคัญกับช่องทางออนไลน์ ขณะที่ในส่วนของต้นทุนค่าใช้จ่ายคาดว่าจะได้ประโยชน์จาก Solar Roof รวมถึงการเปิดใช้งาน KCG Logistic Park ทั้งนี้ ตลาดคาดกำไรสุทธิ KCG* ปี68 และ69 จะอยู่ที่ 468 ลบ.(+15%YoY) และ 516 ลบ.(+10%YoY)

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (22 พ.ค. 68)

Tags: , ,
Back to Top